จักรพรรดิอวี้ตี้เอามือไพล่หลัง และเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู
ในขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จวินฉูฉู่ก็ฟื้นขึ้นและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น จวินฉูฉู่ร้องไห้และถามว่า:“พระชายาเย่ เหตุใดท่านจึงบิดเบือนความจริงเช่นนี้ ท่านสั่งให้คนออกไปปิดประตูและดึงมีดออกจากตัวท่าน ข้าถามท่านว่าเหตุใดท่านถึงสั่งให้คนออกไป ท่านก็บอกกับข้าว่าท่านต้องการให้ข้าตาย เพราะท่านเกลียดข้า แล้วยังบอกว่า……”
จวินฉูฉู่กัดริมฝีปาก ใบหน้าของนางซีดเผือดด้วยความเขินอาย
“ท่านบอกว่าท่านเกลียดข้า เพราะข้าเป็นคนรักของท่านพี่เย่ ท่านบอกว่าเป็นเพราะข้า ท่านพี่เย่ถึงไม่ยอมรับท่าน และไม่ยอมร่วมหอลงโรงกับท่าน ท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นจวินฉูฉู่ก็ร้องไห้โฮออกมา เมื่ออ๋องตวนได้ยินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาจ้องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ:“ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องเป็นคนทำ เจ้าเป็นถึงพระชาเย่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะจิตใจคับแคบเช่นนี้ น้องสามแต่งงานกับเจ้าได้อย่างไร ช่างเป็นความอัปยศของราชวงศ์เสียจริง”
ฉีเฟยอวิ๋นอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง จวินฉูฉู่ช่างร้ายกาจจริง ๆ และไม่มีใครสามารถทำได้เช่นนี้
แล้วก็อ๋องตวนก็สมองมีแต่ขี้เลื่อย พูดจาไร้สาระอะไรเช่นนี้!
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบหนานกงเย่ที่สีหน้านิ่งเฉย ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยนางหรือไม่
“ท่านอ๋องตวน หม่อมฉันไม่ได้ทำเช่นนั้นจริง ๆ เพคะ หม่อมฉันสาบานได้ว่ามีดเล่มนั้นไม่ใช่ของหม่อมฉัน ใครจะไปรู้ว่ามีดเล่มนั้นเป็นของใคร หากเป็นของหม่อมฉัน ขอให้ฟ้าผ่าหม่อมฉันตาย และขอให้คนทั้งตระกูลฉีไม่ตายดี ถึงตาท่านแล้วพระชายาตวน ท่านก็สาบานด้วยสิว่ามีดเล่มนั้นไม่ใช่ของท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นค่อย ๆ คุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วมองไปที่จวินฉูฉู่
จวินฉูฉู่เม้มริมฝีปาก และมองขึ้นไปที่อ๋องตวน:“ท่านอ๋องตวน……”
“ข้ารู้”
อ๋องตวนโอบจวินฉูฉู่:“ฉีเฟยอวิ๋น ข้ารู้ว่าท่านพ่อของเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าเที่ยวก่อกรรมทำเข็นในเมืองหลวง ข้าก็รู้เช่นกัน แต่ข้าไม่เชื่อว่าที่นี่จะไม่มีกฎหมายบ้านเมือง เจ้าทำร้ายจวินฉูฉู่ แล้วเจ้ายังจะมาหาเรื่อง……”
“หม่อมฉันสาบาน หม่อมฉันไม่ได้จะทำร้ายนาง” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชา
ในเวลานี้จักรพรรดิอวี้ตี้ดูสายตาเย็นชา และทันใดนั้นก็ตรัสขึ้นว่า:“ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความผิดของใคร ข้าก็ไม่อยากจะฟังแล้ว อ๋องตวน อ๋องเย่ ตั้งแต่วันนี้พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องกักบริเวณอยู่ในจวนเป็นเวลาสิบวัน จนกว่าพระสนมเอกจะเข้ามาทำพิธีแต่งตั้งสนมในวัง
พระชายาตวน พระชายาเย่ เจ้าสองคนทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกันในวัง เป็นความผิดร้ายแรง ควรได้รับโทษและถอดยศพระชายา ลดขั้นเป็นสามัญชนทั่วไป
แต่ใกล้จะถึงพิธีแต่งตั้งสนมแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าสองคนยังเด็กและไม่รู้ความ ดังนั้นข้าจะไม่ถอดยศพระชายาของพวกเจ้า
ตั้งแต่วันนี้ไป ห้ามพวกเจ้าออกจากจวนแม้แต่ครึ่งก้าว
และไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเข้าร่วมในพิธีแต่งตั้งสนม
หลังจากเสร็จพิธีแต่งตั้งสนมแล้ว พวกเจ้าทั้งสองจึงจะพ้นโทษ”
“ฝ่าบาท……” อ๋องตวนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง หนานกงเย่โค้งคำนับและกล่าวว่า:“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
และฉีเฟยอวิ๋นก็คำนับตามในทันที:“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
อ๋องตวนโอบจวินฉูฉู่อย่างโกรธจัด และกล่าวว่า:“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
จวินฉูฉู่ก็กล่าวเบา ๆ
ทั้งสี่ทูลลาและออกไป ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่ต่างแยกกันออกมาจากพระที่นั่งบำรุงฤทัย หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เดินไปนั่งลงที่บัลลังก์
สวีกงกงรีบเดินไปปรนนิบัติ
“ไปตรวจสอบดูว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?” สีหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้ดูเคร่งขรึม สวีกงกงมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดี เขาน้อมรับพระบัญชาและไปตรวจสอบในทันที
ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นถูกนำตัวไปที่รถม้าและกลับไปที่จวนอ๋องเย่ หลังจากที่เข้าไปในจวนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเศร้าใจ คราวนี้ก่อเรื่องจนแม้แต่นอกจวนก็ออกไปไม่ได้
“เปิดให้ข้าดูหน่อย”
หลังจากที่หนานกงเย่เข้ามาในจวน เขาก็เอาเก้าอี้มานั่งลงและเอามือทั้งสองข้างวางลงบนขา
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ไม่เป็นอะไรเพคะ ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“เปิดสิ ข้าดูแล้วก็จะรู้ว่าเป็นหรือไม่เป็นอะไร” หนานกงเย่ยืนกราน ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ลังเลอีก นางเปิดแขนให้เขาเห็น
แววตาของหนานกงเย่จมลง เขายื่นมือออกไปที่ลูบแขนของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นใจเต้นแรงและหดตัวลงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
หนานกงเย่ค่อย ๆ จับมือของฉีเฟยอวิ๋น และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของนาง
“เจ็บหรือไม่?”
หนานกงเย่เข้ามาใกล้ เขาจับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัวและกำลังจะดึงมือกลับมา แต่มือของหนานกงเย่นั้นนุ่มและมีกำลัง นางไม่สามารถขยับได้เลย
ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นก็พบว่ามือของนางไม่มีกำลัง
“ท่านอ๋อง……”
“ข้าดูหน่อยว่าจะเป็นรอยแผลเป็นหรือไม่” หนานกงเย่จับแขนของฉีเฟยอวิ๋นอีกครั้ง มีรอยแดงบริเวณที่ถูกบาด บาดแผลก่อนหน้านี้ของนาง หนานกงเย่ก็เคยเห็น แต่ในตอนนี้คงเกือบจะหายดีแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมอง:“คงจะไม่เป็นเพคะ”
“เจ้าเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กหรือ?” หนานกงเย่เริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ ปลายนิ้วที่นุ่มนวลของนาง ดึงดูดจิตใจของเขา
“ไม่ใช่เพคะ ถ้าหม่อมฉันบอกว่าตอนที่หม่อมฉันกำลังทำวิจัย ร่างกายของหม่อมฉันได้รับยาชีวภาพชนิดหนึ่ง แล้วทำให้ระบบในร่างกายเปลี่ยนไป ท่านอ๋องจะทรงเชื่อหรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ดังนั้น นางจึงทำได้เพียงแค่พูดเช่นนี้
หนานกงเย่ลูบแขนของฉีเฟยอวิ๋นเบา ๆ ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นพบว่าไหล่ของนางเปลือยเปล่า เขากำลังลวนลามนาง
นางควรจะเอาตะบองตีเขาให้ตาย แต่ทำไมหัวใจของนางกลับหวั่นไหวและทำไม่ลง
“แล้วถ้าข้าเชื่อล่ะ?” แม้จะไม่รู้ว่านางกำลังพูดถึงอะไร แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้โกหกเขา
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ:“เชื่อก็เชื่อ”
“อืม ข้าอยากถามว่าถ้าหากข้าเชื่อแล้ว เจ้าจะให้อะไรข้า?”
มือของหนานกงเย่ยังคงลูบแขนของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นใช้มืออีกข้างจับมือที่กำลังขยับไปมาของเขา แล้วผลักออกไป จากนั้นนางก็จัดเสื้อผ้าให้ดี
“ไม่มีอะไรจะให้เพคะ ท่านอ๋องทรงไม่ได้ขาดเหลืออะไร” ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่ามันไร้สาระ เชื่อแล้วยังต้องการอะไรอีก
“พระชายา ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว เช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องการปรนนิบัติข้าหรือไม่?” หนานกงเย่ถาม
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้รีบตอบ:“แต่งตัวและทานอาหาร ?”
“นี่ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานในวันข้างหน้าของข้า เจ้าทำได้หรือไม่ ?” หนานกงเย่สงบจิตสงบใจ หน้าไม่แดงและหัวใจไม่เต้นแรง
ฉีเฟยอวิ๋นเงียบอยู่นาน:“ท่านอ๋อง ข้ายังไม่เข้าใจ รอให้ข้าพ้นโทษแล้วกลับไปถามท่านพ่อของข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้จะดีกว่า”
“ไม่จำเป็น แม่ทัพฉียุ่งกับงานมากมาย ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าได้ยินมาว่าเขาจะไปเล่นหมากรุกกับฝ่าบาทเพื่อคลายความเบื่อหน่ายบ่อย ๆ ถ้าหากไปถามก็คงจะไม่มีเวลา แล้วอีกอย่าง……เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องถามแม่ทัพฉี”
“ก็ใช่เพคะ……”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเขินอาย ผู้ชายในสมัยก่อนเป็นแบบนี้เอง พอเห็นผู้หญิงถอดเสื้อผ้าก็คิดจะเกิดเรื่องเช่นนั้น?
“พระชายา ข้าสามารถสอนเจ้าได้ เจ้าว่าอย่างไร?”
หนานกงเย่ยังคงพยายามอย่างหนัก เขาไม่ได้จับเพียงแค่มือเดียวอีกต่อไป แม้ว่านางจะสวมเสื้อผ้าแล้ว แต่มือของเขาก็ยังวนเวียนอยู่ที่แขนของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงก่ำและกระสับกระส่าย
“ท่านอ๋องเพคะ เรื่องนี้ก็ต้องเลือกวันที่ฤกษ์งามยามดี วันนี้ท่านกับข้าก็เกือบจะเกิดเรื่องขึ้นในวัง และในตอนนี้ก็ถูกฝ่าบาทกักบริเวณ ต้องบำเพ็ญตนและสำนึกผิดถึงจะถูกเพคะ”
ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะพูด ริมฝีปากของนางก็ถูกปิดกั้นไว้ ในเวลานี้ดวงตาของฉีเฟยอวิ๋นก็กลมโต และมองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้านาง
คนที่อยู่ตรงหน้า จับแขนทั้งสองข้างของนางไว้และกำลังจูบนาง
แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกของเขา ทักษะการจูบของเขาแย่มาก ในขณะที่จูบนางก็ตัวสั่น
หนานกงเย่ถอยออก และกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า:“ข้าจะสอนเจ้าเดี๋ยวนี้”
“ท่าน……ท่าน……”
หนานกงเย่โผเข้าหาฉีเฟยอวิ๋นในทันที ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถโต้ตอบได้ชั่วขณะ นางถูกพาไปที่เตียง มือทั้งสองข้างของนางจับไหล่ของหนานกงเย่โดยไม่รู้ตัว หรือต้องการจะผลักหนานกงเย่ออก นางไม่ต้องการ……
ฉึก……
เสื้อผ้าถูกฉีกขาด!