ฉีเฟยอวิ๋นโกรธมากจนพูดไม่ออก มีคนเช่นนี้ที่ไหนกัน บอกว่าเขาไร้ยางอาย เขาก็ยินดีที่จะยอมรับ
“อวิ๋นอวิ๋น” แม่ทัพฉีเรียกนาง ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองแม่ทัพฉี
“ท่านพ่อ”
“ท่านพ่อตา”
หนานกงเย่ไม่เพียงแต่ทำให้แม่ทัพฉีและบรรดาขุนนางที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง อ๋องเย่เป็นอะไรไป?
และอดไม่ได้ที่จะมอง อ๋องเย่ยังคงจับมือของพระชายาเย่ คงกลัวว่านางจะถูกลักพาตัวไป
ฉีเฟยอวิ๋นมีอะไรดี ?
ใบหน้าของแม่ทัพฉีแดงก่ำ แม้ว่าจะปลื้มอกปลื้มใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา เขาเหลือบมองไปที่หนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์ และกล่าวว่า:“พวกเจ้าไม่กลับบ้าน ไม่กินอาหาร เช่นนั้นก็กลับจวนไปเสียเถิด”
แม่ทัพฉีลดเสียงต่ำลง และรอบ ๆ ก็ไม่มีใครได้ยิน
“ข้าก็กำลังคิดเช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะพาอวิ๋นอวิ๋นกลับไป” หนานกงเย่ให้ความร่วมมือในทันที แม่ทัพฉีไม่พูดอะไร เขาคารวะและกล่าวลา
หลังจากที่แม่ทัพฉีจากไป ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก็พูดคุยเรื่องเดิมต่อ ระหว่างพวกเขาสามารถเข้าใจได้โดยปริยายและไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
แต่คนข้างหลังสองคน เฉินอวิ๋นเอ๋อร์และเฉินอวิ๋นเจี๋ยสองพี่น้อง
“ท่านก็รู้ว่าท่านพ่อไม่ชอบพวกเขา แล้วท่านยังจะมาหาพวกเขาอีก ท่านหมายความว่าอย่างไร ?” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วก็รู้สึกโมโห และกล่าวอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
เฉินอวิ๋นเจี๋ยยังคงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น เมื่อได้ยินคำพูดที่บาดหู เขาก็เหลือบมองเฉินอวิ๋นเอ๋อร์:“เชื่อฟังข้า หาคนที่ดีสักคนและเป็นภรรยาเอก อย่าไปเป็นพระชายารองของใคร ด้วยฐานะตระกูลเฉินของเราแล้ว หากเจ้าจะหาสามีที่ยังหนุ่มยังแน่นสักคนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากเจ้ายืนกรานที่จะเป็นพระชายารอง หากเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้าก็คงจะไม่มีใครสนใจเจ้า”
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านสนใจ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าหัวใจของท่านอยู่ที่หญิงชั่วช้าคนนั้น” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์โกรธมากขึ้น นางไม่มีทางปล่อยไปแน่ นางเป็นพระชายารองก็แค่เพียงชั่วคราว ต้องมีสักวันที่นางจะได้เป็นพระชายาเอก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ?”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินอวิ๋นจี๋ยมืดมน
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มเยาะ:“ข้าเรียกนางว่าหญิงชั่วช้า ท่านก็ไม่พอใจแล้วหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าเดิมทีแล้วตำแหน่งพระชายาเย่เป็นของข้า แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นนางไปได้ ?”
“เจ้าหมดหนทางที่จะเยียวยารักษาแล้วจริง ๆ ”
เฉินอวิ๋นจี๋ยเดินออกไปจากประตู เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นเขา เขาก็ถือกระบี่ม่อเสียเดินออกไปแล้ว
เมื่อเห็นเฉินอวิ๋นจี๋ย ฉีเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยอย่างใจลอยอยู่สักครู่
หนานกงเย่ดึงมือนาง:“มองอะไร มีอะไรน่ามองหรือ?”
“ท่านอ๋องทรงรู้จักกระบี่ม่อเสียหรือไม่เพคะ ?” ฉีเฟยอวิ๋นพบว่านางไม่เพียงแต่สนใจเรื่องของสมุนไพร การรักษาผู้ป่วย แต่ยังนางสนใจเรื่องของอาวุธอีกด้วย
“ไม่รู้จัก ข้าได้กระบี่ม่อเสียมาตอนที่ไปออกรบ และเมื่อกลับมาแล้ว ข้าก็มอบให้ฝ่าบาท” หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ และไม่แน่ใจว่าเขาไม่พอใจหรือไม่ ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ ที่จะมองตามเขาออกไป
“ท่านไม่โกรธหรือ ?”
“ข้าก็เป็นของฝ่าบาท มีอะไรน่าโกรธกัน พระองค์ทรงชอบก็ดีแล้ว ข้าถวายมันให้พระองค์แล้ว ส่วนพระองค์จะใช้อย่างไรมันก็เป็นเรื่องของพระองค์แล้ว”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ หากฝ่าบาททรงต้องการข้า ท่านก็จะถวายให้อย่างนั้นหรือ ?”
“ไร้สาระ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วยหรือ ?” หนานกงเย่จูงมือของฉีเฟยอวิ๋นออกจากไปจากวัง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย นี่มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่าไม่มีใครต้องการนาง ?
ในขณะที่พวกเขากำลังจะจากไป จวินฉูฉู่และอ๋องตวนก็ถูกคนขวางไว้ เป็นคนของพระมเหสีหวา กงกงมาเชิญพวกเขาเข้าไป และทั้งสองก็เดินตามคนของพระมเหสีหวาไป
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าสีหน้าของจวินฉูฉู่ดูไม่ค่อยจะดีนัก แต่แสร้งทำว่าไม่เป็นอะไร
หนานกงเย่เคาะศีรษะของฉีเฟยอวิ๋น:“เจ้ามองอะไร ?”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“หม่อมฉันคิดว่าพระชายาตวนดูไม่ค่อยสบายพระทัย นางไม่ได้ปรารถนาตำแหน่งฮองเฮามาแค่วันสองวัน แต่ในตอนนี้ดุเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”
“นั่นเป็นเรื่องของวันข้างหน้า ในตอนนี้เจ้าสนใจตัวเจ้าเองเถิด แม้แต่ไข่ก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ”
แววตาของหนานกงเย่ดูซึมลง ฉีเฟยอวิ๋นไม่สบอารมณ์:“ไม่มีไข่นั้นมันเป็นเรื่องของข้า เหตุใดท่านจึงไม่ลองถามตัวเองดูบ้างว่าท่านไถนาไม่เป็นหรือไม่ ?”
“ไอ้หยา บ่าวได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงรีบเอามือขึ้นมาปิดใบหน้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงเห็นว่าไห่กงกงมาแล้ว
“ทำให้กงกงต้องขบขันแล้ว” หนานกงเย่กล่าวอย่างชอบธรรม ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอับอายแทนเขา
ไห่กงกงรีบกล่าวว่า:“พระพันปีมีรับส่งให้บ่าวมารอรับเสด็จท่านอ๋องกับพระชายา เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดวันนี้พระพันปีและพระมเหสีจึงมาปรึกษาหารือกันเช่นนี้
หนานกงเย่จูงมือฉีเฟยอวิ๋น และบอกให้เดินตามไป
เมื่อมาถึงตำหนักเฉาเฟิ่งและพบกับพระพันปีแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้ว่าเหตุใดวันนี้จึงถูกเรียกให้มาเข้าเฝ้า แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องของความสวยความงาม
“มีความเคลื่อนไหวของทั้งสองวังแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ ?” พระพันปีทรงมองหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องของหนานกงเย่
“ทราบแล้วพ่ะย่ะย่ะ เพิ่งจะทราบเมื่อครู่” หนานกงเย่คนเดียวจะสามารถต่อต้านกับพระพันปีได้อย่างไร และฉีเฟยอวิ๋นก็ตระหนักได้ว่านางไม่จำเป็นต้องกังวล
พระพันปีทรงถอนหายใจเล็กน้อย:“ฝ่าบาททรงไม่มีผู้สืบสกุลมาหลายปีแล้ว บัดนี้มงคลคู่ได้มาบรรจบกันแล้ว ควรจะมีการเฉลิมฉลอง และไม่รู้ว่าพระสนมเอกเซียวจะนำข่าวดีมาหรือไม่ ข้ามีความสุขมากจริง ๆ ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าดูไม่ออกเลยสักนิดว่ามีความสุข
แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เป็นพระโอรสของพระพันปีเช่นกัน หากพระโอรสทรงมีผู้สืบสกุล ผู้ที่เป็นมารดาก็ควรจะยินดี แต่ดูเหมือนว่าพระพันปีจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ:“ลูกก็รีบเร่งเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เพิ่งจะเข้าหอเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้”
เมื่อหนานกงเย่กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ตกตะลึง รวมทั้งพระพันปีด้วย
“เพิ่งเข้าหอ ?”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลง ท่านพูดเรื่องเหลวไหลอะไรเนี่ย !
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ:“ลูกไม่ชอบนางมาโดยตลอด เสด็จแม่ก็ทรงทราบเรื่องนี้ แต่เมื่อสองสามวันก่อน ลูกนอนอย่างเลอะเลือน และในเวลานั้นก็ไม่สามารถยับยั้งไว้ได้ นางวิ่งเข้ามาข้างกายลูก สุดท้ายก็เกิดเป็นความเร่าร้อน ลูกจึงต้องการนาง
ในตอนนั้นเอง ลูกเพิ่งจะรู้ว่าการแต่งงานเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นด่าทอในใจ ท่านช่างไร้ยางอายนัก
คำพูดเช่นนั้นจะกล่าวอย่างเปิดเผยได้อย่างไร
พระพันปีตกตะลึงและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ใบหน้าของนางแดงก่ำ:“อวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า ?ไอ้เจ้านี่นี้มันปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร ?”
“หา ?”
ฉีเฟยอวิ๋นดูงุนงง:“เรื่องนี้ต้องกราบทูลเสด็จแม่ด้วยหรือเพคะ ?”
หรือว่าจะหลับนอนกันแต่ละครั้งก็ต้องกราบทูลอย่างนั้นหรือ ?
“ไอ้หยา พระชายาเย่ ท่านเพิ่งจะแต่งงาน ท่านอ๋องทรงเลอะเลือน แล้วท่านก็เลอะเลือนด้วยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ควรจะกราบทูลเรื่องนี้ต่อพระพันปี แล้วพระพันปีจะทรงจัดการให้ ไม่แน่ว่าในตอนนี้อาจจะมีข่าวดีแล้วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“จะมีข่าวดีมันไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” หนานกงเย่ยังจะกล่าวอีก ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยจริง ๆ ทำไมปกติแล้วถึงไม่เห็นว่าเขาช่างพูดเช่นนี้
“เหตุใดถึงไม่ง่าย ?” พระพันปีทรงไม่เข้าพระทัย
“อวิ๋นอวิ๋นมีอาการมดลูกเย็นพ่ะย่ะค่ะ และเพิ่งจะรักษาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่าลูกจะยอมรับอวิ๋นอวิ๋นแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมี”
“แล้วตอนนี้เล่า ?” พระพันปีทรงเป็นกังวลเรื่องนี้มาก
ฉีเฟยอวิ่นรู้สึกว่าการมีลูกเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพระพันปี
“ไม่กี่วันก่อนหมอภายในจวนได้ทำการตรวจดูแล้ว และปรับสมดุลจนเกือบจะดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เรื่องนี้……”
หนานกงเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไห่กงกงรีบบอกให้คนอื่น ๆ ออกไปทันที และเขาก็ถอยออกไปด้วย
ทุกคนถอยออกไปหมดแล้ว หนานกงเย่จึงกล่าวว่า:“อันที่จริงแล้วอวิ๋นอวิ๋นไม่ได้มีอาการมดลูกเย็นพ่ะย่ะค่ะ เป็นลูกที่กุเรื่องขึ้นมาเอง”
“ไร้สาระ !” พระพันปีตำหนิอย่างไม่พอพระทัย
“เสด็จแม่ เมื่อสองสามวันก่อนอ๋องตวนและพระชายาตวนมา และบอกกับลูกว่าต้องการให้อวิ๋นอวิ๋นรักษาอาการมดลูกเย็นให้พระชายาตวน และลูกก็พลั้งปากพูดไปว่าอวิ๋นอวิ๋นก็มีอาการนี้เช่นกัน และไม่ง่ายเลยที่จะรักษา จึงบอกให้พวกเขากลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีทรงเฉลียวฉลาด นางจึงเข้าใจและกล่าวว่า:“หากเป็นเช่นนั้นก็พอที่จะให้อภัยได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากการสนทนาของทั้งสองแม่ลูกสิ้นสุดลง พระพันปีก็มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นด้วยความเอ็นดู:“เจ้าเพิ่งจะผ่านเรื่องอย่างว่ามา เจ้าต้องบำรุงร่างกายของเจ้าให้ดี ส่วนเรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดง จะทรงจัดการอย่างไร บอกให้พระโอรสของพระองค์ทรงขยันไถนาเถอะเพคะ ?
“ถ้าหากลองคำนวณ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน่าจะมีข่าวคราว ไม่ต้องรีบร้อนภายในวันสองวันนี้หรอก”
นี่เป็นจังหวะในการที่จะมีลูก
หนานกงเย่ยิ้ม:“ลูกจะขยันให้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“……” พระพันปีทรงไม่สนใจเขา:“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถิด ข้าจะรอข่าวดีของพวกเจ้า”
หลังจากที่ออกมาจากตำหนักเฉาเฟิ่ง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกจนปัญญา ถ้าหากไม่มีลูกแล้วจะทำอย่างไร ?
ภายในตำหนักหวาหยาง
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เมื่อสองสามวันก่อนฉูฉู่ก็เคยเอ่ยถึง วัเดิมทีข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ บังเอิญที่เมื่อไม่กี่วันก่อนฉีกั๋วกงเข้ามาในวัง และทรงตรัสถึงเรื่องนี้อย่างใส่พระทัย เจ้าก็รู้ว่าหลานสาวของฉีกั๋วกง ชอบเจ้ามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ข้าก็ไม่เคยตอบตกลงเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็ไม่ชอบ ไม่เหมือนฉูฉู่ที่รู้ความ
แต่ในเมื่อตอนนี้ฉีกั๋วกงมีความตั้งใจ ข้าจึงตอบตกลงไปแล้ว
เลือกวันและจัดการเรื่องนี้แล้ว ส่วนเรื่องความรู้สึกก็ช่างมัน”
จวินฉูฉู่นิ่งสงบและนั่งอยู่อย่างนั้น
อ๋องตวนไม่เต็มใจ:“เสด็จแม่ เรื่องนี้คงต้องรอก่อน ฉูฉู่ปรับสมดุลร่างกายให้ดีขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็อาจจะมีก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ หากจะสู่ขอพระชายารองในตอนนี้ ลูกเพิ่งจะแต่งงาน จะไปสู่ขออีกได้อย่างไรกัน ?ยิ่งไปกว่านั้น ลูกไม่ได้ชอบหลานสาวของฉีกั๋วกง และจำนางไม่ได้แล้ว”
“ไร้สาระ เรื่องนี้เจ้าจะให้ช่างมันได้อย่างไร ข้ากำลังปรึกษาหารือกับฉูฉู่ เจ้าจะกังวลอะไร ?” พระมเหสีหวาไม่สนใจอ๋องตวน และตรงไปที่จวินฉูฉู่
จวินฉูฉู่อึดอัดใจ วันนี้ในห้องโถง นางเห็นหนานกงเย่ใส่ใจฉีเฟยอวิ๋นเช่นนั้น นางก็รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทน
ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้ทั้งสองวังมีข่าวดีเรื่องการตั้งครรภ์ได้แล้ว และหัวใจของนางกำลังจะแตกสลาย
ในตอนแรกนางคิดที่จะแต่งงานกับฝ่าบาท แต่นางไม่มีหวัง ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความคิดนี้
ในตอนนี้จะมีหรือไม่มีลูกแล้วอย่างไร อ๋องตวนก็ไม่สามารถสนับสนุนนางได้ ฝ่าบาททรงมีสายเลือดมังกรแล้ว เช่นนั้นนางจะมีหวังอะไร
“ฉูฉู่”
พระมเหสีหวาทรงไม่พอพระทัย สีหน้าของนางเย็นชา
จวินฉูฉู่รู้สึกตัวอย่างรวดเร็วและฝืนยิ้ม:“สิ่งที่เสด็จแม่ทรงตรัสคือสิ่งที่หม่อมฉันคิดเพคะ เสด็จแม่ ครอบครัวของฉีกั๋วอ๋องมีความรู้หลายแขนง ฉูฉู่ก็เคยได้ยินเรื่องฉีกั๋วอ๋องมาบ้าง หากเป็นน้องสาวของฉีกั๋วอ๋อง ฉูฉู่ก็ยินดีเพคะ เรื่องนี้ให้เสด็จแม่ทรงเป็นผู้ตัดสินพระทัยส่วนเรื่องวัน หม่อมฉันจะหาคนมาดูให้ดีเพคะ”
“อืม เป็นฉูฉู่ที่รู้ความและเข้าใจเหตุผล เจ้านี่……” พระมเหสีหวาเหลือบมองใบหน้าที่ซีดขาวของอ๋องตวน และโบกมือให้ออกไป
อ๋องตวนมองไปที่จวินฉูฉู่ แม้ว่าจะพูดถึงเรื่องพระชายารองมาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมาถึงจริง ๆ
และนางก็ตอบตกลงอย่างใจเย็น