จุดจบของการทำให้หนานกงเย่โมโหก็คือการถูกทรมานบนเตียงหลายต่อหลายครั้ง และยังต้องใช้กลยุทธ์ศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดสิบแปดท่า
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น มีอาการปวดเอวปวดหลัง จะลุกลงจากเตียงได้ต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ
แต่สำหรับใครบางคน เรื่องราวเมื่อคืนวานนั้น ราวกับเป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายชั้นเยี่ยม ร่างกายรู้สึกคล่องแคล่วกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากเปลี่ยนชุดก็ไปเข้าเฝ้าช่วงเช้า
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาก็รับประทานอาหารเช้า วันนี้ไม่ได้มีความคิดว่าอยากออกไปไหน และเตรียมที่จะทำตุ๊กแก
เมื่อมองไปที่ตุ๊กแก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกทำไม่ลง แต่หากมันไม่ตาย คนที่ตายก็จะเป็นฮองเฮา
ถึงแม้ฮองเฮาจะมีความโหดเหี้ยมอย่างมาก แต่ความผิดนี้ก็ไม่ถึงกับตาย
ผู้คนล้วนมีความทะเยอทะยานด้วยกันทั้งนั้น เช่นเดียวกับฮองเฮา หากไม่มีความโหดเหี้ยมอำมหิตในตำแหน่งที่นางอยู่ ก็คงไม่สามารถรักษามาได้จนถึงวันนี้
สงครามภายในบ้านของคนในยุคโบราณนั้น แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะไม่ถนัดมากนัก แต่เธอก็รู้อยู่เหมือนกัน
การเกิดในที่แบบนั้นเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตนี้โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงในราชวงศ์ หากไม่มีความเหี้ยมโหด ก็คงยากในการใช้ชีวิตให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากฮองเฮาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คนแรกที่จักรพรรดิจะทำการลงโทษก็คือเธอ เธอก็ไม่กล้าที่จะไม่ให้ฮองเฮาไม่มีชีวิตอยู่
เมื่อนำมีดเล็กมา ฉีเฟยอวิ๋นทำการปล่อยเลือดด้วยตัวเอง เธอปล่อยเลือดไปพร้อมกับการพูดพร่ำ “เจ้าตุ๊กแก เกิดชาติหน้าขอให้ได้เป็นคน และไปในที่ที่ดีนะ ชาตินี้ถือว่าได้ทำบุญกุศลครั้งใหญ่นะ”
หงเถาและลี่ว์หลิ่วพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในตอนที่ทำการฆ่านั้นยกมีดขึ้นมาอย่างโหดร้าย แต่เมื่อฆ่าเสร็จกลับรู้สึกทำใจไม่ได้ซะงั้น
พระชายาช่างแตกต่างกับคนอื่นเสียจริง แม้แต่ความซื่อสัตย์จริงใจก็สามารถทำให้คนตกใจได้
ไม่นานหนานกงเย่ก็กลับมาจากราชสำนัก และเข้าประตูมาเพื่อไปหาฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นได้เริ่มทำการหมักดองตุ๊กแกแล้ว โดยเริ่มทอดด้วยไฟแรงจนมีสีเหลือง และปล่อยไว้ให้เย็นลง
ในขณะที่กำลังพักไว้ให้เย็นลง ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้เห็นหนานกงเย่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสองจ้องมองกันอย่างไม่มีความสุข แต่กลับรู้สึกเศร้า
ฉีเฟยอวิ๋นวางตุ๊กแกลง หันกลับไปเพื่อล้างทำความสะอาดมือ และได้บอกกับหงเถาและลี่ว์หลิ่วให้คอยเฝ้าดู ฉีเฟยอวิ๋นออกจากห้องเพื่อไปข้างนอก
วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นใช้ให้คนมาจัดห้อง และจัดเตรียมห้องไว้อีกหนึ่งห้องในสวนดอกล้วยไม้ เธอจัดเตรียมไว้สำหรับใช้เป็นห้องยาของตัวเอง และจะดีมากหากเป็นสถานที่ที่สามารถเชื่อมต่อกับห้องนอนของเธอได้
และแน่นอนว่าไม่ได้เชื่อมต่อกับห้องนอนของหนานกงเย่ แต่เป็นของเธอ
เธอไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของหนานกงเย่ในตอนนี้ แต่เธอยังต้องการเตรียมห้องไว้อีกห้องหนึ่ง
หลังจากออกมาจากประตู ฉีเฟยอวิ๋นก็โค้งคารวะหนานกงเย่ “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่อารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก โบกมือและกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก”
“ท่านอ๋องไม่ได้ทรงเหน็ดเหนื่อยหรอกหรือเมื่อคืน?” ฉีเฟยอวิ๋นล้อเลียนอย่างจงใจ และใบหน้าของหนานกงเย่ก็ดีขึ้น
เขามองฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาขุ่นเคือง “พระชายาไม่ได้ปวดเมื่อยร่างกายหรอกหรือ?”
ข่มขู่ เป็นการข่มขู่อย่างเปิดเผย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้า เมื่อเทียบกับผู้ชายแล้ว ร่างกายของผู้หญิงนั้นช่างอ่อนแอ
อันที่จริงคนที่ออกกำลังก็เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่เธอกลับรู้สึกหมดพลังอ่อนแอ
เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยมากเกินไป
“ท่านอ๋องมีพละกำลังที่หนักแน่น หม่อมฉันมีหรือจะไม่เจ็บ ตอนนี้หม่อมฉันยังรู้สึกปวดเอวปวดหลังอยู่เลย ท่านอ๋องลองจับดูสิเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่ ดึงมือของหนานกงเย่มาวางไว้บนเอว หนานกงเย่รู้สึกทั้งโกรธและแค้น
“เป็นผู้หญิงไม่รู้จักอายหรือ”
เมื่ออาอวี่ได้ยินก็รีบถอยออกไปไกล และไม่กล้าฟังอะไรอีก
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังเพื่อจะกลับออกไป แต่ถูกหนานกงเย่ดึงเข้าไปกอด “เจ็บขนาดนั้นเลยหรือ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน หนานกงเย่ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เขาให้กำลังมากเกินไป ร่างกายของเธอไม่ดีนัก เกรงว่าจะเจ็บป่วยไป
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว “ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันเป็นหมอ ปรับตัวนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่พละกำลังของท่านอ๋องนั้นหม่อมฉันยินดีที่จะรับไว้เพคะ”
คำนี้เมื่อได้ฟังหนานกงเย่รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ใบหน้ามีความภาคภูมิใจ แม้แต่การหายใจก็รู้สึกคล่องขึ้น เรื่องความขัดแย้งในการเฝ้าในตอนเช้าก็มลายหายสิ้นไปทันที
เขาไม่ใช่คนที่ชอบฟังคำพูดที่ดูดีน่าฟัง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับพูดต่างออกไป
“ข้ายังต้องพยายามมากกว่านี้ เพื่อจะได้มีลูกไวๆ” หนานกงเย่รู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมา และเตรียมพร้อมจะกลับไปพักผ่อน แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นห้ามปรามไว้
“ท่านอ๋อง วันนี้ท่านกลับมาจากการเข้าเฝ้าสีหน้าดูไม่ค่อยจะดีนัก หรือว่ามีคนในการเข้าเฝ้าช่วงเช้าทำให้ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นลูบบริเวณหน้าอกของหนานกงเย่
หนานกงเย่สีหน้าเคร่งขรึม “ใครที่กล้าทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าไม่สั่งสอนมันคนนั้น ก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาแล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วท่านอ๋องยังมีเรื่องอะไรมีทำให้ไม่สบายใจหรือเพคะ?”
“มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากในเขื่อนตู้ฟางจุน แต่ผู้มีความสามารถเหล่านั้นที่เอาแต่บ่นเรื่องการอนุรักษ์น้ำกลับไม่กล้าโผล่หัวออกมาสักคน พวกเขาต่างหวาดกลัว ไม่มีใครมีความสามารถเข้าไปจัดการกับเขื่อนตู้ฟางจุน คนเดียวที่ข้าสามารถคาดหวังได้ก็คือเสนาบดีฝ่ายโยธาธิการซือคงเซียง แต่เขากลับมีอายุมากแล้ว และยังมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงนัก จึงทำให้ไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องที่ใหญ่เช่นนี้ได้ บอกว่าไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้ แล้วจู่ๆ วันนี้จักรพรรดิก็ตรัสขึ้นในการเข้าเฝ้าช่วงเช้าว่าข้าไร้ประโยชน์”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หนานกงเย่รู้สึกโมโหขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “จักรพรรดิตรัสเช่นนั้นหรือเพคะ?”
“ข้าจำไม่ได้แล้ว” หนานกงเย่จำได้ว่าจักรพรรดิอวี้ตี้ขมวดคิ้วและมองมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดชื่อออกมาบอกว่าเขาไร้ประโยชน์ แต่สายตาแบบนั้นและท่าทางการขมวดคิ้วกลับปรากฏชัดโดยไม่ต้องพูดออกมา ราวกับกำลังถามว่า เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนประองค์ เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่สำเร็จ ไม่รู้จักละอายใจบ้างหรือ
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก นี่คือการใส่ร้ายจักรพรรดิหรือ?
จักรพรรดิไม่ได้เป็นคนพูด แต่ท่านกลับคิดว่าพระองค์หมายความเช่นนั้น
จะถามไป ท่านยังรู้สึกกำกวมติดๆ ขัดๆ จำไม่ได้แล้ว
จักรพรรดิถูกใส่ร้ายโดยคนชราขี้หลงขี้ลืม
“ข้าโมโหงั้นหรือ?” ดูแล้วหนานกงเย่ยังคงอารมณ์ไม่ดี ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามต่อพลางกลับไปยังห้องที่ต้องจัดเก็บ โดยมีหนานกงเย่เดินตามไป
“ข้าไม่ได้โมโหจักรพรรดิ แต่โมโหอารมณ์อันไร้ประโยชน์ของข้าเอง ตอนแรกพวกเขากล่าวโทษเสนาบดีกรมโยธาธิการ แต่ตอนนี้เขื่อนตู้ฟางจุนเกิดปัญหาขึ้น แต่กลับไม่มีใครพูดขึ้นมาเรื่องที่จะเชิญซือคงเซียงกลับมา”
“และยิ่งทำให้รู้สึกโมโหไปมากกว่านั้นคือ ขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนัก มีบางคนที่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าจะไม่ออกมาแสดงออกในเรื่องนี้”
“ข้าต้องการที่จะเชิญซือคงเซียงกลับมา แต่พวกเขากลับลังเล กังวลว่าซือคงเซียงจะส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของพวกเขา เลยไม่ยอมรับ”
“โดยคิดว่าเรื่องนี้ทำให้ราชสำนักขายหน้า ถึงแม้ว่าข้าจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังมีคนที่คอยขวางทางอยู่”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ “ท่านอ๋องไม่ได้โดดเดี่ยวแต่มีผู้คนนับหมื่นภายใต้การดูแลของเขา และก็มีอำนาจในราชสำนัก ทำไมถึงยังมีคนกล้าที่จะต่อต้านเขา? ถึงแม้จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นคนของท่านอ๋อง!”
ถึงแม้ฉีเฟยอวิ๋นจะรู้เรื่องในราชสำนักไม่มากนัก แต่ก็เข้าใจหลักการบางอย่างได้ หนานกงเย่เป็นผู้ที่ทำงานอยู่แนวหน้าของจักรพรรดิ และรวมถึงการได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทผู้สืบราชการแทนพระองค์ เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ไม่ได้โง่เขลาที่จะไม่เข้าใจตำแหน่งหน้าที่ของหนานกงเย่
ต่อให้หนานกงเย่จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของจักรพรรดิได้ แต่เขาก็เป็นขุนนางอันเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ พวกเขาจะมีเหตุผลอะไรมาขัดขวาง?
หนานกงเย่โกรธมากเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ “วันนั้นตอนที่ข้าได้รับแต่งตั้งจากจักรพรรดิให้เป็นผู้สืบราชการแทนพระองค์ กั๋วจิ้วก็ไม่ค่อยยินดีนัก มาวันนี้ข้าได้เจอกับปัญหาเรื่องเขื่อนตู้ฟางจุน เขาก็มาขัดขวางข้า”
“ข้าต้องการให้ซือคงเซียงกลับมา แต่เขากลับบอกว่าไม่”
จะพูดไปก็เพราะว่ามีคนคอยขัดขวาง ฉีเฟยอวิ๋นถาม “กั๋วจิ้วไม่ใช่ท่านลุงแท้ๆ ของท่านอ๋องหรือเพคะ?”
“เขาใช่”
“ในเมื่อเป็นลุงแท้ๆ แล้วทำไมถึงยังทำเรื่องที่ทำให้ท่านอ๋องลำบากใจอีกหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ หรือว่าจะมีความขัดแย้งกันในครอบครัว
อำนาจในราชสำนักมีอยู่สามเสาหลัก ราชครูจวินนับเป็นหนึ่งตระกูล ราชสกุลพระพันปีนับเป็นหนึ่งตระกูล และเสนาบดีเฉินก็นับเป็นอีกหนึ่งตระกูล ที่เหลือก็จะเป็นตระกูลเล็กๆ ยิบย่อย
หนานกงเย่นับว่าเป็นคนของจักรพรรดิ แน่นอนว่าไม่อยู่หนึ่งในนั้น
แต่หนึ่งในสามตระกูลนับว่ากำลังฟื้นตัวขึ้นโดยเฉพาะตระกูลเฉิน เพราะถึงอย่างไรทัศนคติของจักรพรรดิก็เป็นที่ประจักรอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีพระสนมเอกคนใหม่เข้าวังมา ฮองเฮาก็ยังเป็นไข่มุกแท้ในมือของพระองค์ พระองค์ไม่เพียงแค่โหยหาฮองเฮาทุกวี่วัน ขนาดเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่ไม่มีคุณงามความดีก็ยังพระราชทานรางวัลให้อย่างง่ายดาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของพระองค์
ส่วนตระกูลราชครูจวินนั้น ถึงแม้จะไม่เห็นถึงการปรับปรุงใดๆ แต่การเข้าวังมาของพระสนมเอกเซียวนั้นก็นำมาซึ่งเรื่องน่ายินดีถึงสองเรื่องด้วยกัน เดิมทีจักรพรรดิไม่ทรงมีพระราชโอรส แต่ขณะนี้ทั้งสองตำหนักต่างก็มีเรื่องน่ายินดี ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่มีใครกล้าพูดขึ้น แต่ความดีความชอบของพระสนมเอกเซียวนั้นยังมีอยู่ ราชครูจวินจึงรู้สึกได้หน้าอย่างยิ่ง และเป็นคนมีชื่อเสียงในราชสำนัก
หากพระสนมเอกเซียวให้กำเนิดออกมาเป็นพระโอรส แต่ฮองเฮาให้กำเนิดออกมาเป็นพระธิดา เช่นนั้นตระกูลจวินจะยิ่งมีอำนาจมากขึ้นในราชสำนัก
ส่วนตระกูลหวางเท่าที่ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้นั้น ถึงแม้ว่าอำนาจของตระกูลหวางจะไม่ได้น้อยนิด แต่ก็ไม่เคยทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว บวกกับการที่พระพันปีไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในราชสำนักมาหลายปี ถึงแม้จะมีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่เคยเห็นพวกเขาออกมา
ทำไมวันนี้กลับออกมากัน?
ช่างน่าแปลกประหลาดยิ่งนัก
แถมยังออกมาเผชิญหน้ากับหลานชายของตัวเอง!
“ในราชสำนักไม่พูดกันเรื่องวงศ์ตระกูล ทุกคนล้วนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง อีกอย่างการแสดงออกของกั๋วจิ้ว ถึงแม้จะไม่โดดเด่นมากนัก แต่เขาก็มียศศักดิ์ที่น่าเกรงขามในราชสำนัก โดยกั๋วจิ้วมียศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงส่ง เขาเป็นน้องชายของเสด็จแม่ พวกเขาเป็นพี่น้องที่เกิดจากแม่คนเดียวกัน”
“เมื่อตอนที่เสด็จพ่อยังอยู่ กั๋วจิ้วได้สร้างความดีความชอบให้กับเสด็จพ่อไม่เพียงแค่หนึ่งครั้ง ความสัมพันธ์ของเขาและเสด็จแม่ก็ไม่เลวเลย”
“ถึงแม้ตอนนี้เสด็จแม่จะมีพระชันษามากแล้ว และที่พระมเหสีหวาไม่กล้าลงมือก็เป็นเพราะราชสกุลตระกูลหวางที่อยู่เบื้องหลังเสด็จแม่”
“พูดให้ชัดเจนก็คือ เขาเป็นผู้ควบคุมสนับสนุนตระกูลหวางทั้งหมด”
“ฉะนั้นจักรพรรดิจึงต้องมีความเกรงใจเขาอยู่บ้าง”
“ข้ารำคาญที่จะต้องทะเลาะกับเขาจนหน้าดำหน้าแดง เขาเห็นว่าข้าอายุน้อยกว่าจึงรังแกข้า และกดข้าในทุกเรื่อง”
“เดิมทีข้าไม่ต้องการคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโส บวกกับเขาก็คิดทำเพื่ออาณาจักร ข้าก็เลยไม่คิดมากอะไร”
“แต่เรื่องเขื่อนตู้ฟางจุนนั้นร้ายแรงมาก เมื่อข้ากล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่จบไม่สิ้นกับข้า”
“ข้ารู้สึกโมโหมาก” หนานกงเย่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธ ต่อให้อารมณ์ดีแค่ไหนก็ถูกลุงคนโตทำให้เสียอารมณ์ได้
เมื่อพูดถึงกั๋วจิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็พยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้น คนนี้ช่างน่าโมโหมาก ก่อนหน้านี้ที่ท่านบอกกับหม่อมฉันเรื่องท่านอ๋องกั่วจวิ้น คาดว่าหากไม่ใช่เป็นเพราะเขา ท่านอ๋องกั่วจวิ้นก็คงไม่มีความกล้าขนาดนั้น”
“ที่เสด็จแม่ลงโทษทุกคนในจวนท่านอ๋องกั่วจวิ้นนั้น เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากเขา”
“ที่น่าโมโหที่สุดคือ ซือคงเซียงไม่ยอมกลับเข้าราชสำนัก หากเขายอม ข้าก็สามารถมีข้อแก้ต่างขึ้นมาได้” หนานกงเย่นั่งลง สายตานิ่งเฉยลงมาก
เรื่องนี้ไม่ร้อนใจไปไม่ได้ เขาต้องการรีบให้ปัญหาจบสิ้น
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงตามเขา “ท่านอ๋อง หากซือคงเซียงตกลงที่จะกลับเข้าราชสำนัก ท่านอ๋องสามารถพูดเกลี้ยกล่อมกั๋วจิ้วได้หรือเพคะ?”
หนานกงเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “จะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน เดิมทีกั๋วจิ้วไม่ได้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น แต่ครั้งนี้เป็นเพราะข้าได้เป็นผู้สืบราชการแทนพระองค์จึงทำให้เขาไม่เห็นด้วย”
“เขาดูไม่มีความสุขมากนักเกี่ยวกับคดีของท่านอ๋องกั่วจวิ้น ต้องเป็นเพราะฉงหยางจวิ้นจู่ได้ติดค้างคำพูดไว้กับเขา”
“แต่เมื่อเรื่องเขื่อนตู้ฟางจุนเข้ามา หากไม่รีบดำเนินการ เกรงว่าจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง หากมีคนตาย และยังไม่รีบเข้าไปจัดการปัญหานี้ เมื่อประชาชนออกมาประท้วง จะทำให้จักรพรรดิเสื่อมเสียชื่อเสียงได้”
“ท่านอ๋อง ทำไมท่านถึงมีความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเช่นนี้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะเป็นพี่ชายของท่าน แต่มาวันนี้ พี่น้องเมื่ออยู่ในราชสำนัก ก็ทำให้ความสัมพันธ์นั้นบางเบาลง มีแต่ศักดิ์ศรี แต่ท่านอ๋องกลับไม่เหมือนเช่นนั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นอย่างกล้าหาญ เพราะเข้าใจอารมณ์ของหนานกงเย่ในตอนนี้อย่างชัดเจน เขาดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ และโหดเหี้ยม แต่จริงๆ แล้วเขาเข้ากับคนง่ายมากๆ และเขาก็ไม่ได้เลวร้ายต่อคนรอบข้างเขามากนัก