บทที่ 164 ปิดประตูใหญ่ให้แน่น
จิ้งจอกหางสั้นเข้าประตูมาชุนหงก็เป็นลมไปซะแล้ว กลอกตาแล้วจึงล้มไปเลย
หนานกงเหยี่ยนเหลือบมองแล้วก็ตามไปยังเรือนที่ชุนหงอยู่
เมื่อคนมาครบจิ้งจอกหางสั้นก็ไปตรงที่เตียงใช้กรงเล็บเขี่ยผ้าห่มออกไปเลยและด้านล่างมีตู้ลับที่มองไม่ค่อยออก ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปดูแล้วชี้: “อ๋องตวน เชิญสิ”
หนานกงเหยี่ยนหาคนมาคนหนึ่งเนื่องจากเขาไม่แตะต้องสิ่งของเหล่านี้
คนใช้เปิดออกพบถุงผ้าอยู่ข้างในนำมามอบให้กับหนานกงเหยี่ยน จมูกฉีเฟยอวิ๋นแพ้ง่ายและสิ่งของจำพวกนี้คือตัวยาสมุนไพรฉะนั้นพอได้กลิ่นจึงเดินเข้าไปดู
เมื่อดมดูแล้วฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “เป็นยาจำพวกหนึ่งซึ่งทำให้สติเลอะเลือน”
“……” หนานกงเหยี่ยนไม่ได้กล่าวสิ่งใดและมองไปยังจิ้งจอกหางสั้นบนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นออกจากประตูไปด้านนอก เหลือบมองชุนหงซึ่งเป็นลมไปแล้วอยู่ในลานและเดินออกไปโดยตรงเลย
คราวนี้จิ้งจอกหางสั้นกลับมายังเรือนเซี่ยวเฟิง และหลังจากเข้าไปไม่นานก็พบเบาะแสในเรือนของอวิ๋นหลัวฉวน
จิ้งจอกหางสิ้นใช้กรงเล็บกุยกายอยู่ใต้โต๊ะในห้องนอนและเงยศีรษะขึ้นมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยดวงตากลมโตสีดำสนิท
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งย่อตัวลงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ติดตัวแล้วเช็ดไปบนพื้นและดมๆกลิ่น
“เป็นสิ่งเดียวกัน?”
ฉีเฟยอวิ๋นหันศีรษะของเหลือบมองไปยังหนานกงเหยี่ยน: “อ๋องตวน ท่านลองดมดู”
อ๋องตวนหยิบผ้าเช็ดหน้าไปดมแล้วส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้ฉีเฟยอวิ๋น
ในที่สุดก็ทนไม่ไหว: “แล้วเช่นไรเล่า พิสูจน์ไม่ได้ว่าพระชายาเป็นผู้กระทำ?”
ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญาแล้วปัดมือออก: “หากท่านสามารถกล่าวเช่นนี้ได้โดยไม่รู้สึกถึงผิดชอบชั่วดีข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก แต่ข้าไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้พระชายาเป็นผู้กระทำ เพียงแค่ถามอ๋องตวนว่าของสองสิ่งนี้เหมือนกันหรือไม่”
หนานกงเหยี่ยนกุมมือไว้ข้างหลัง: “บางครั้งฉูฉู่ก็เอาแต่ใจข้าก็ประมาทด้วย เรื่องนี้ข้ายินดีที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “อ๋องตวนช่างโปรดปรานภรรยายิ่งนัก”
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากที่พักของอวิ๋นหลัวฉวน ออกจากประตูแล้วก็นำปากกา หมึก กระดาษ หินฝนหมึกและของอื่นๆมารอชุนหงตื่นขึ้นมา
เมื่อตงเอ๋อร์และอาอวี่กลับมาฉีเฟยอวิ๋นให้คนสาดน้ำให้ชุนหงตื่นและถามนางเรื่องยา
ชุนหงไม่บอกฉีเฟยอวิ๋นเลยกล่าวว่า:”เจ้ไม่บอกก็ส่งเจ้าให้กับศาลพิเศษกลาง เจ้ารู้ถึงผลที่ตามมาอยู่แล้วและอ๋องตวนก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้
“ข้ามีหน้าที่สืบสวนเรื่องนี้หาก เจ้าไม่พูดแล้วไม่เกิดสิ่งใดเลยจะมีข้าไว้ทำอันใด? ”
ชุนหงก้มลงร้องไห้น้ำตานองทั่วทั้งใบหน้า
ไม่ใช่ว่านางภักดีต่อจวินฉูฉู่แต่นางรู้ดีว่าจวินฉูฉู่เป็นคนเช่นไร
หากว่าพูดออกมาทั้งครอบครัวก็ต้องตาย
เรื่องนี้นางหนีไม่พ้นซะแล้ว
แม้ว่าจะไม่มีจวินฉูฉู่ตระกูลจวินก็ไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน
แม้แต่ชุนหงก็ไม่พูดฉีเฟยอวิ๋นเลยหยิบปากกามา: “ข้าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาเจ้าดูนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นบันทึกยาและเบาะแสที่พบบนพื้นแล้วนำมาให้ชุนหงดู ชุนหงไม่ได้พูดอะไรฉีเฟยอวิ๋นเลยถามว่า “เจ้ายอมรับสิ่งเหล่านี้หรือไม่?”
ชุนหงมองไปยังกระดาษสีขาวอักษรสีดำด้วยความงุนงงแต่ไม่ได้พูดสิ่งใด
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและวางกระดาษเปล่าลง: “อ๋องตวน เชิญ นางไม่ยอมรับก็เถอะสุดท้ายท่านก็ได้เห็นแล้ว”
หนานกงเหยี่ยนปฏิเสธแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวอย่างจนใจว่า: “เรื่องนี้ขุนนางอาวุโสแห่งเมืองต้าเหลียงทั้งหมดได้ออกหน้ามาแล้ว อ๋องตวนยังคิดว่าจะผ่านไปง่ายๆหรือ?
มีดที่แทงลงมาแต่ไม่เห็นเลือดอาบคอก็ต้องลอกหนังออกชั้นหนึ่งอีกด้วย”
“……” หนานกวเหยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋นและใช้เวลานานจึงได้ใช้ปากกาเขียนชื่อชื่อหนึ่ง
ฉีเฟนอวิ๋นก็เขียนชื่อด้วยตามด้วยชื่อของหนานกงเย่
ตงเอ๋อร์สะอื้นไห้: “ในใจจวิ้นจู่เพียงแค่ต้องการเป็นพระชายารองให้ดีเท่านั้นแต่ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะใจดำเช่นนี้!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปเจ้านายเป็นเช่นไรบ่าวก็เป็นเช่นนั้นช่างสมคำร่ำลือจริงๆ แม้แต่สาวใช้ยังกล้ายอกย้อนท่านอ๋อง
แต่ก็แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่าท่านอ๋องผู้นี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นรับหลักฐานแล้วเก็บไว้เป็นอย่างดีจากนั้นเรียกอาอวี่: “มัดไว้”
อาอวี่ทำตามจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและบอกให้ตงเอ๋อร์นั่งลงด้วย ตงเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าแล้วเดินไปนั่งด้านข้างของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจับชีพจรให้นางและเริ่มตรวจดูอาการของร่างกายนาง
“กล่าวถึงพระชายารองหลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้วในเรือนเซี่ยวเฟิงมีผู้ใดมาบ้าง?”
ตงเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “ที่พวกข้านี่ไม่มีผู้ใดมาเลย ขาดสิ่งใดหรือสื่งใดน้อยไปข้าเป็นคนไปหาทั้งสิ้น พ่อบ้านไม่ค่อยสนใจพวกข้าคนในเรือนเซี่ยวเฟิ่ง
ข้าเป็นผู้ที่ติดตามเจ้าสาวมาของจวิ้นจู่แต่ในลานของพวกข้ามีเพียงข้ากับจวิ้นจู่ สาวใช้ชราซึ่งคอยรับใช้เดิมมีหกคน แต่หลังจากจวิ้นจู่ไปทานข้าวที่จวนแม่ทัพกลับมาก็แยกย้ายทุกคนในลานไปทั้งหมด
ที่ลานมีเพียงแค่พวกข้า วันนั้นข้าออกไปตักน้ำคนอื่นๆไม่มีใครมาเลย กับข้าวข้าก็เป็นคนไปเอามา”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเหยี่ยน: “อ๋องตวน ดูเหมือนว่าจวนอ๋องที่นี่ของท่านช่างข้นแค้นยิ่งนัก แม้แต่สาวใช้สาวสาวใช้ชราก็ไม่มีมารับใช้เลย”
ตงเอ๋อร์ยิ่งปวดใจแล้วปาดน้ำตา: “ข้าจำไม่ได้ว่ามีผู้ใดมา หากข้าไม่อยู่แล้วมีคนมาจวิ้นจู่ก็บอกข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “ไม่มีผู้ใดมา พวกเจ้านายบ่าวเกิดเรื่องเพราะเจ้าตักน้ำข้างนอกจนเกิดปัญหา เจ้าตักน้ำมาจากที่ใด?”
“ในบ่อน้ำเล็กๆนอกประตูไม่ไกลจากที่นี่ ไปกลับใช้เวลาแค่ครึ่งก้านธูปครึ่ง จวนอ๋องที่นี่ของพวกเราดื่มน้ำในบ่อน้ำที่มีอยู่ของแต่ละลาน บ้างอยู่ที่ลานหลังเรือน บ้างที่หน้าประตู ของพวกเราอยู่หน้าประตูที่นั่นยังมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง”
“ข้าจะไปดู”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้วออกไปข้างนอกในขณะที่ตงเอ๋อร์รีบวิ่งไปอย่างเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นให้อาอวี่ตักน้ำขึ้นมาแล้วดม
“น้ำเจือจางแล้วไม่น่าจะมาจากน้ำในบ่อ”
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าไม่มีถังน้ำอยู่ด้วย
ตงเอ๋อร์อุทานออกมาทันที: “ถังน้ำ ถังน้ำไม่ใช่ถังเดิม”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น: “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าตักน้ำไม่ระวังเลยล้มทำให้ถังน้ำแตก ข้าเลยคิดว่าเปลี่ยนเป็นถังอันที่ดีๆ แต่พ่อบ้านไม่ยอมให้เปลี่ยน ข้าจำได้ว่าตอนตักน้ำข้ายังรู้สึกเสียใจเรื่องที่ถูกคนรังแก แต่ตอนนี้เป็นเช่นนี้แล้ว” ตงเอ๋อร์ชี้ไปยังถังที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแล้วเลยหยิบกระดาษกับปากกามาเขียนอีกแผ่นหนึ่ง
หนานกงเย่เดินไปที่ด้านข้างของฉีเฟยอวิ๋นหยิบปากกาในมือของนางและเริ่มเขียนอย่างคล่องแคล่วส่วนฉีเฟยอวิ๋นยืนดูอยู่ข้างๆ หลังจากที่เขาเขียนเสร็จก็เขียนอีกแผ่นที่เหมือนเดิมทุกประการแล้วเรียกอ๋องตวนมาลงชื่อจากนั้นเขาก็ลงชื่อด้วย
หลังจากเป่าแห้งแล้วก็เก็บไว้เป็นอย่างดี แผ่นก่อนหน้านี้หนานกงเย่นำมาจากร่างของฉีเฟยอวิ๋นแล้วเก็บไว้ในอ้อมอกของเขา เช่นนี้เขาถึงจะวางใจ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ: “มีสิ่งใดต่างกันหรือ?”
“ผู้หญิงที่โง่เขลาคือมีบุญและทำทุกอย่างตามความสามารถของตน”
หนานกงเย่จับมือเล็กๆของฉีเฟยอวิ๋นแล้วเหลือบมองไปยังอ๋องตวน: “นี่ก็สายมากแล้วข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจะกลับไปพักผ่อนแล้ว ตงเอ๋อร์เจ้ากลับไปยังจวนกว๋อกงชั่วคราว อาอวี่เจ้าส่งตงเอ๋อร์ไปแล้วส่งชุนหงไปยังจวนราชครูจวินเช่นนี้จะปลอดภัยกว่า”
“ขอรับ”
อาอวี่ออกไปก่อนแล้วหนานกงเย่ก็เหลือบมอหนานกงเหยี่ยน: “พี่รอง ลาก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่นำตัวไปโดยที่หนานกงเหยี่ยนเหลือบมองคนในจวนด้วยสีหน้าเย็นชา
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วมองหนานกงเย่อยู่ในรถม้า: “ท่านอ๋อง พรุ่งนี้ท่านวางแผนที่จะไปศาลพิเศษกลางกับหม่อมฉันหรือไม่”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปตู้ฟางจุนช่วงนี้เงินขาดข้ากำลังวิตกกังวลกับเรื่องเงิน”
“ท้องพระคลังขาดเงิน?”
“ท้องพระคลังไม่ได้ขาดเงินแต่ฟางจุนเป็นโครงการใหญ่ และในเวลานี้ก็ฝืนสร้างเท่ากับใช้กำลังคนและเงิน ราษฎรเสียชีวิตราชสำนักต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ราษฎรถึงจะมีความสุข ส่วนการสร้างตู้ฟางจุนนั้นพวกเขาไม่เข้าใจ
ข้าใช้พื้นที่โดยรอบราษฎรไม่ได้รับค่าชดเชยก็ไม่พอใจเป็นธรรมดา จ่ายค่าชดเชยให้ก็ไม่มีเงินสร้างตู้ฟางจุน
เงินนั้นมีแต่ไม่พอ! ”
ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อยนางไม่รู้จริงๆว่าโครงการตู้ฟางจุนใหญ่เท่าใด แต่ตู้ฟางจุนได้เริ่มเป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วจนถึงวันนี้ยังไม่แล้วเสร็จแสดงว่าใหญ่มากยิ่งจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า: “ท่านอ๋อง มีสิ่งใดให้ข้าทำหรือไม่?”
หนานกงเย่ส่ายศีรษะ: “อวิ๋นอวิ๋นจัดการกับเรื่องของพระชายารองอวิ๋นซะก่อน ข้าแค่กังวลว่าช่วงสองสามวันนี้ไม่มีเวลาให้อวิ๋นอวิ๋น เกรงว่าอวิ๋นอวิ๋นจะไม่สนใจแล้วเกิดเรื่อง”
หนานกงเย่ลูบท้องของฉีเฟยอวิ๋น และฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “ไม่เป็นไร ท่านอ๋องวางใจได้ข้าน้อยรู้ว่าควรทำสิ่งใด”
ทั้งสองคนคุยกันในรถม้าแล้วกลับไป พักผ่อนคืนหนึ่งแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ตื่นแต่เช้าไปยังศาลพิเศษกลาง
ถึงที่ประตูฉีเฟยอวิ๋นจึงเคาะประตูแล้วมีคนออกมาเปิดประตู
สวมชุดสีแดงพุทธาจีนและที่หัวเข็มขัดมีรูปหัวเสือและหน้าสัตว์ด้วย แสดงว่าเป็นขอบเขตสถานที่ของราชสำนัก
“ผู้ใดกัน?” สถานที่แต่งต่างกันคนที่พูดเลยไม่ไว้หน้า
หากเป็นยามปกติจะไม่พูดจาเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างสงบ: “พระชายาเย่ฉีเฟยอวิ๋นมาสืบสวนคดีนี้ตามพระราชโองการขององค์ไทเฮา”
“พระราชโองการหล่ะ?” ผู้กล่าวกล่าวอย่างไม่สุภาพไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด
ฉีเฟยอวิ๋นนำพระราชโองการมาและอีกฝ่ายหนึ่งมองดูแล้วจึงหันหลังกลับไปรายงาน
ฉีอวิ๋นเฟยรอเป็นเวลาครึ่งวันจนดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะก็ไม่มีผู้ใดออกมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันหลังเดินกลับไป
กลับถึงจวนอ๋องเย่ก็บ่ายแล้วฉีเฟยอวิ๋นตากแดดจนใบหน้าแดงซะแล้ว
นั่งลงดื่มน้ำไปไม่น้อยแล้วนอนหลับหนึ่งตื่น
หนานกงเย่กลับมาตอนดึกซึ่งฉีเฟยอวิ๋นหลับไปแล้วเลยไม่อยากจะรบกวน ไปยังเตียงแล้วกอดและจุมพิตลงไป
คู่สามีภรรยาตื่นขึ้นมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ออกจากเรือนไปอีกในตอนเช้า
ครั้งนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เคาะประตูเดินไปยังประตูแล้วผลักประตูเปิดเข้าไป นางมาแต่เช้าเลยยังไม่มีผู้ใด ประตูของศาลพิเศษกลางก็ไม่ได้ลงกลอน
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูมาและมองไปรอบๆ พบสถานที่ใช้ดื่มน้ำจึงโยนยาหนึ่งกำมือลงไป
ทิ้งลงไปแล้วก็จากไป
หลังจากกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ก็พักผ่อนอยู่ในหรือทั้งวัน ตอนกลางคืนก็มีคนมาหา
“พระชายาข้างนอกมีคนมาหาบอกว่าเป็นคนของศาลพิเศษกลาง” หงเถารายงานอยู่ตรงประตู
ฉีเฟยอวิ๋นดึงเวลาไปครึ่งชั่วยามและไม่ยอมออกไปสักที
เมื่อหนานกงเย่ลงจากรถม้าก็เห็นรถม้าคันหนึ่งอยู่หน้าประตูเรือนของตน ด้านล่างรถม้ามีชายสีหน้าเย็นชาผู้หนึ่ง
เดิมทีคิดจะเข้าไปเนื่องจากหนานกงเย่ก็เหนื่อยยิ่งนัก ราชสำนักมีเรื่องราวมากมายแล้วยังต้องดูแลเงินที่ขาดของตู้ฟางจุน
เงินที่คาดการณ์ไว้แต่เดิมนั้นใช้ไปเกือบหมดแล้ว หากหาเงินเพิ่มไม่ได้ก็ต้องหยุดงานไว้
คนที่อยู่ด้านล่างรถม้าดูคุ้นเคยหนานกงเย่เลยไปดูคนที่อยู่ด้านล่างรถม้า: “เจ้าเป็นคนของศาลพิเศษกลางใช่หรือไม่”
“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ความจำเป็นเลิศ” เว่ยหลินชวนสีหน้าหมองหม่นมองแว๊บเดียวก็ไม่ชอบ
หนานกงเย่นึกถึงคนผู้นี้ออก เว่ยหลินชวนผู้เป็นจั่วจงเจิ้งของศาลพิเศษกลาง เป็นผู้สืบทอดต่อจงลิ่งต่อไปซึ่งเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่ยอมผู้ใดง่ายๆ
หนานกงเย่บพูดได้เพียงว่าเคยเห็น
“จั่วจงเจิ้งมายังจวนของข้ามีเรื่องอันใดหรือ? ” หนานกงเย่ถามอย่างรู้ทัน
เว่ยหลินชวนสีหน้านิ่ง: “เหตุใดผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ถึงไม่ไปถามพระชายาเย่หล่ะ?”
“โอ้……ข้าจะไปถามดูตอนนี้ ขอให้จั่วจงเจิ้งรอก่อน”
หนานกงเย่หันกลับไปยังจวนอ๋องพอเข้าประตูไปก็สั่งให้ปิดประตู
ประตูใหญ่จวนอ๋องเย่ปิดไว้หนาแน่น สีหน้าของเว่ยหลินชวนซีดเผือดแล้วหันหลังกลับไปยังศาลพิเศษกลาง