แม่ทัพฉีให้คนไปเตรียมเหล้าและอาหาร และแม่ทัพฉีก็ออกไปก่อน
เมื่อเห็นหนานกงเหยี่ยน แม่ทัพฉีก็ไม่พอใจมาก
ขืนอยู่ต่อคงต้องโมโหและไปหาเรื่องคนเป็นแน่
ทั้งสี่คนกินอาหาร ฉีเฟยอวิ๋นกินอย่างพอเหมาะสม นางชินกับการกินอาหารอย่างช้า ๆ แล้ว และกินเช่นนี้ทุกวัน นางกินอย่างพิถีพิถัน ฝีมือการทำอาหารของจวนอ๋องเย่ดีกว่าจวนแม่ทัพ และฉีเฟยอวิ๋นก็ชอบกินอาหารของจวนอ๋องเย่
อวิ๋นหลัวฉวนกินเก่งมากและกินได้มาก เหมือนไม่เคยกินมาก่อนเลยจริง ๆ
ในขณะที่กิน ฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปที่อวิ๋นหลัวฉวน:“พระชายารองอวิ๋น ที่จวนอ๋องตวนไม่มีเนื้อให้เจ้ากินเลยจริง ๆ หรือ ?”
ความจริงแล้วอวิ๋นหลัวฉวนไม่กินผัก และนางถนัดที่จะกินเนื้อสัตว์
ใช่ นางเป็นแม่ทัพ และพูดได้ว่านางกินเนื้ออยู่ไม่ขาด แต่นางดูเหมือนคนที่ไม่เคยกินอิ่มเลย
อวิ๋นหลัวฉวนกินเนื้อสัตว์และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า:“ท่านพี่เสียนเฟย ท่านไม่รู้อะไร ตั้งแต่ข้าเข้ามาอยู่ สามวันแรกข้ากินแต่เนื้อสัตว์ ไม่รู้ว่านี่เป็นการดูแลจากอ๋องตวนหรือไม่ เวลาที่เขาอยู่มีแต่อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ แต่หลังจากที่เขาไปแล้ว ข้าก็กินแต่ผักทุกมื้อเลย
ในตอนแรกข้าได้กินแต่ของสดใหม่ แต่พอแต่งงานแล้ว ข้าก็ไม่ได้เห็นเนื้อสัตว์อีกเลย
โดยปกติแล้วท่านอ๋องจะไม่อยู่กับข้า ข้าจึงไม่ได้เห็นเนื้อสัตว์ แต่หากเขาอยู่ก็จะเตรียมไว้ให้ข้า
พอข้าถามพ่อบ้าน พ่อบ้านก็บอกว่าเป็นกฎของจวน ต้องเป็นท่านอ๋องจึงจะสามารถกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์ได้”
“พูดจาไร้สาระ”
สีหน้าของหนานกงเหยี่ยนดูแย่มาก ในตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อที่อวิ๋นหลัวฉวนพูด แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว เขาก็รู้ว่านางไม่น่าจะพูดโกหก
เห็นว่านางชอบกินเนื้อสัตว์เช่นนั้น แต่นางก็ผอมมาก และหนานกงเหยี่ยนก็เข้าใจในทันที
ในตอนที่นางบอกว่าพ่อบ้านเป็นคนพูด หนานกงเหยี่ยนก็โกรธมากยิ่งขึ้น
อวิ๋นหลัวฉวนมองไปและกล่าวว่า:“ท่านจะโกรธมากขนาดนั้นทำไม ?ท่านไม่มีงานที่ทำอย่างจริงจัง ไม่เหมือนอ๋องเย่ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นเรื่องปกติที่จะกินน้อยกว่าพวกเขา”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นใจคอห่อเหี่ยว เกรงว่าจวนอ๋องตวนจะร่ำรวยกว่าพวกเขาถึงจะถูก
หนานกงเหยี่ยนยืนขึ้น:“ไปกันเถอะ ข้าอิ่มแล้ว”
เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนเห็นว่าหนานกงเหยี่ยนไม่พอใจจริง ๆ นางจึงลุกขึ้นและเช็ดปาก นางเหลือบมองไก่ขอทานที่อยู่บนโต๊ะ และติดใจจนต้องเอากลับไปด้วย
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก:“ไปกันเสียที”
“อืม อวิ๋นอวิ๋น วันนี้เราจะกลับกันหรือไม่ ?” หนานกงเย่เห็นว่าใกล้จะค่ำแล้ว
“เช่นนั้นเราก็อยู่ที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับพรุ่งนี้”
หนานกงเหยี่ยนพาอวิ๋นหลัวฉวนกลับไปที่จวนอ๋องตวน และไปหาพ่อบ้าน เมื่อเข้าไปแล้วเขาก็ถีบ:“ไอ้บ่าวสารเลว เจ้ากล้ากระด้างกระเดื่อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ!”
อวิ๋นหลัวฉวนทำอะไม่ถูก ทำไมถึงโกรธมากเช่นนี้ ?
เพียงแต่……
ดูไม่ออกเลยว่าอ๋องตวนก็มีอารมณ์โกรธเช่นกัน
แววตาของอวิ๋นหลัวฉวนดูชื่นชม นี่สิถึงจะดูเหมือนผู้ชาย !
พ่อบ้านคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตกใจและก้มหน้าสำนึกผิด
หนานกงเหยี่ยนยืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าของเขาเย็นชามาก:“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบ่าวที่อยู่กับข้ามานาน และเริ่มที่จะวางอำนาจบาตรใหญ่
ข้าไม่อยากจะเข้าไปแทรกแซง ขอเพียงแค่ไม่ได้มีความผิดร้ายแรง ข้าก็จะปล่อยผ่านไป
แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะบังอาจเช่นนี้ เจ้ากล้าดียังไงมาหักค่าอาหารของพระชายารอง
ใครให้ความกล้านี้แก่เจ้า ใครกันแน่ที่เป็นนายและใครที่เป็นบ่าว แยกไม่ออกแล้วหรืออย่างไร ?”
หนานกงเหยี่ยนโกรธมาก และพ่อบ้านก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น
“ข้าถามเจ้า ใครสั่งให้เจ้าหักค่าอาหารของพระชายารอง ?”
พ่อบ้านโขกศีรษะ:“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่กล้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเหยี่ยนถีบต่อไป:“เจ้าไม่กล้า!”
พ่อบ้านนอนหงายอยู่บนพื้น และรีบคลานกลับไปโขกศีรษะต่อ
อวิ๋นหลัวฉวนดูทนไม่ไหวแล้ว นางจึงดึงหนานกงเหยี่ยน:“ช่างเถอะ ข้าสบายดีและไม่ได้เป็นอะไร เหตุใดท่านอ๋องต้องทรงโมโหและทำร้ายร่างกายเช่นนี้ ข้าว่าช่างมันเถอะ พ่อบ้านทำไปเพื่อประหยัดเงินค่าใช้จ่าย ไม่เสียเปล่า”
หนานกงเหยี่ยนมองไปรอบ ๆ แววตาของเขาอ่อนโยนขึ้น:“เจ้าช่างใจกว้างเสียจริง”
“……” อวิ๋นหลัวฉวนเบะปากอย่างช่วยไม่ได้:“จะทำอย่างไรได้ อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พระชายารองทรงอยากเสวยอะไรก็จงจัดเตรียมอย่างนั้น หากพระชายารองผอมลง แล้วจวนกั๋งกงมาหาข้า ข้าจะส่งเจ้าไป” หนานกงเหยี่ยนกล่าวอย่างโกรธเคือง
พ่อบ้านยินยอม แล้วกล่าวว่าไม่กล้าแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หนานกงเหยี่ยนพาอวิ๋นหลัวฉวนหันหลังจากไป
พวกเขาไปที่ลานหน้าเรือนของอวิ๋นหลัวฉวน ระหว่างทางหนานกงเหยี่ยนกล่าวว่า:“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้า เจ้าไม่บอกแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าในจวนท่านอ๋องจะมีคนที่กินเนื้อ แล้วข้ากินผัก ข้าคิดว่าท่านอ่องทรงไม่มีงานมีการทำ และใช้ชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น” อวิ๋นหลัวฉวนก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน นางคิดว่ายากจนเพราะแต่งงาน ที่แท้ก็เป็นคนรับใช้ที่กลั่นแกล้ง
หนานกงเหยี่ยนโกรธเคือง:“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีงานทำ แต่ข้าไม่ยอมไปทำงานอะไร”
“เพราะเหตุใดเพคะ ในฐานะบุรุษ แม้ว่าจะไม่ได้รับใช้ชาติ ก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัว หรือว่าท่านอ๋องทรงไม่รู้ความจริงข้อนี้ ?” อวิ๋นหลัวฉวนยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ หนานกงเหยี่ยนโกรธจนหน้าซีด
นางเป็นเพียงแค่สาวน้อยคนหนึ่ง พูดไปนางก็ไม่เข้าใจ
เดิมทีหนานกงเหยี่ยนอยากจะสั่งสอนสักสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ช่างมันเถอะ
อวิ๋นหลัวฉวนกลับมาถึงในเรือน นางรีบถอนสายบัวด้วยใบหน้าที่เข้าถึงได้ง่าย:“ท่านอ๋อง ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ท่านกลับกันเถอะ”
อวิ๋นหลัวฉวนรู้ว่าหนานกงเหยี่ยนไม่ชอบมาที่เรือนของนาง และนางก็ไม่ได้บังคับ จากนั้นนางก็ส่งเขาออกไป
หนานกงเหยี่ยนเหลือบมองเข้าไปในเรือน มีด หอก กระบอง มีครบทุกอย่าง เห็นแล้วก็ไม่ชอบจึงหันหลังเดินจากไป
หนานกงเหยี่ยนกลับมาที่เรือนของจวินฉูฉู่ เขาหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่จวินฉูฉู่
จวินฉูฉู่ได้รับข่าวและรอหนานกงเหยี่ยนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหนานกงเหยี่ยน จวินฉูฉู่ก็เข้าไปหาเขา:“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีความผิดเพคะ ท่านอ๋องทรงได้โปรดลงโทษด้วย”
จวินฉูฉู่ถอนสายบัวและไม่ยอมลุกขึ้น หนานกงเหยี่ยนจึงช่วยพยุงจวินฉูฉู่ขึ้นมา:“เรื่องอะไรถึงได้จริงจังเช่นนี้ ร่างกายไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ ?”
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันควบคุมดูแลไม่ดีเพคะ ทำให้พ่อบ้านฉกฉวยประโยชน์ไปได้ ท่านอ๋องทรงได้โปรดลงโทษด้วยเพคะ” จวินฉูฉู่มองลงไปที่พื้นอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมและน้ำตาคลอเบ้า
หนานกงเหยี่ยนดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนและปลอบเบา ๆ :“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉูฉู่ ข้าตำหนิพ่อบ้านไปแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่อยู่กับข้ามานาน ฉูฉู่อย่าไปสนใจเลย ร่างกายของเจ้าสำคัญที่สุด”
แววตาของจวินฉูฉู่ฉายแววเฉียบคม อวิ๋นหลัวฉวน ข้าดูถูกเจ้ามากเกินไป
วันต่อมา
อวิ๋นหลัวฉวนถูกเรียกไปพบจวินฉูฉู่
“คารวะพระชายาเพคะ” อวิ๋นหลัวฉวนไม่ชอบจวินฉูฉู่ นางเพียงแค่ถอนสายบัวเท่านั้น
จวินฉูฉู่มองอวิ๋นหลัวฉวนอยู่ครู่หนึ่ง:“ได้ยินมาว่าเจ้าบ่นว่าอาหารในจวนไม่ดีหรือ ?”
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวว่า:“ไม่ได้บ่นเพคะ เพียงแค่กล่าวถึงเท่านั้น”
“เวลาที่พูดกับข้า ต้องมีมารยาท ถ้าเจ้าไม่รู้กฎระเบียบ ข้าจะให้คนมาสอนเจ้า เวลาที่ออกไปข้างนอกจะได้ไม่ทำให้ท่านอ๋องต้องขายหน้า”
“ไม่จำเป็นเพคะ หม่อมฉันรู้กฎระเบียบดี” อวิ๋นหลัวฉวนไม่สนใจจวินฉูฉู่ และหันหลังเดินกลับไปที่เรือนของตนเอง
หลังจากที่เข้ามาในเรือนแล้ว นางก็หยิบดาบขึ้นมาและรำดาบอยู่ในเรือน
สาวใช้ตงเอ๋อร์มองไปที่อวิ๋นหลัวฉวนอย่างไม่พอใจและเกลี้ยกล่อมนางให้สงบสติอารมณ์ จากนั้นอวิ๋นหลัวฉวนก็โยนดาบลง
“จวิ้นจู่ พระชายาทรงหาเรื่องท่านหรือไม่เพคะ ?” ตงเอ๋อร์ถาม
อวิ๋นหลัวฉวนจนปัญญา:“ท่านอ๋องตวน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ใช้ได้เลยทีเดียว แม้จะมีความสามารถเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษ เขาชอบหน้าไหว้หลังหลอกอย่างจวินฉูฉู่ได้อย่างไร”
“จวิ้นจู่ นางทำให้ท่านลำบากใจหรือไม่เพคะ ?”
“นางจะให้คนมาสอนกฎระเบียบกับข้า นางคิดว่านางเป็นใคร ถึงไม่รู้สึกกระดากอายเช่นนี้ ข้าไม่รู้จักกฎระเบียบอะไร เดี๋ยวจะทไให้จวนอ๋องตวนต้องขายหน้า ?
นางคิดว่านางฉลาด แต่ข้าก็ไม่ใช่คนโง่ ที่พ่อบ้านกล้าหักค่าอาหารของข้าก็ไม่ใช่เพราะมีนางคอยบงการอยู่เบื้องหลังรึ ?
ข้ารู้ว่าข้าท่านอ๋องตวนทรงชอบนาง ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ย่อมไม่ผิด
แต่ข้าไม่สามารถทนเห็นนางวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนั้นได้ ข้าถึงได้โกรธเช่นนี้”
“จวิ้นจู่ เช่นนั้นเรากลับไปที่จวนกั๋วกงดีหรือไม่เพคะ แล้วไปบอกฮูหยินใหญ่ นางจะต้องจัดการให้จวิ้นจู่อย่างแน่นอน” ตงเอ๋อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
อวิ๋นหลัวฉวนส่ายหัว:“ช่างเถอะ กลับไปก็ไม่มีอะไร แล้วยังจะส่งผลกระทบต่อท่านอ่องด้วย ก่อนหน้านี้ที่ท่านอ๋องพาข้ากลับไป ในจวนก็ไม่มีใครอยู่เลย ข้าขายหน้าแทบเย่”
“จวิ้นจู่ทรงเป็นห่วงท่านอ๋องหรือเพคะ ?”
“อย่าพูดไร้สาระ” อวิ๋นหลัวฉวนหน้าแดงเล็กน้อย
หนานกงเหยี่ยนที่อยู่นอกเรือนไม่พอใจ แม้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนจะซุกซน แต่นางก็เป็นพระชายารอง พระชายามีสิทธิ์ที่จะชี้แนะ แต่ไม่มีสิทธิ์สั่งสอน การสั่งสอนนั้นเป็นเรื่องของจวนกั๋วกง มิน่าล่ะ อวิ๋นหลัวฉวนถึงได้โกรธ
เมื่อกลับมาถึงเรือน หนานกงเหยี่ยนก็ไปหาจวินฉูฉู่ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดถึงเรื่องของอวิ๋นหลัวฉวน
“ท่านอ๋องกำลังจะบอกว่าไม่ต้องการให้หม่อมฉันไปยุ่งกับนางหรือเพคะ ?” จวินฉูฉู่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่สีหน้าของนางกลับเรียบเฉย
“ในเมื่อนางป่าเถื่อนและไร้มารยาท เหตุใดพระชายาถึงต้องไปสนใจนางด้วย ปล่อยให้นางสนุกไปตามลำพังเถอะ” หนานกงเหยี่ยนกล่าวและมองไปที่จวินฉูฉู่:“นางเข้ามาอยู่ในวังกับข้า หากพูดอะไรออกไป แล้วข้าจะชี้แจ้งกับเสด็จแม่อย่างไร ?”
จวินฉูฉู่ยิ้ม:“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
“อืม”
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาฉีเฟยอวิ๋นใชัชีวิตอย่างสบาย ๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำเข็มฉีดยา
แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ทำขึ้นจากเหล็กทั้งหมด แต่ก็ถือว่าฉีเฟยอวิ๋นพึงพอใจ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังลองมันแล้ว และมันสามารถใช้งานได้
นางนึกถึงเครื่องเงินที่สามารถฆ่าเชื้อได้ และสามารถใช้เข็มเงินเจาะทะลุได้ หากนำมาทำเข็มฉีดยาจะเหมาะสมที่สุด แต่เงินค่อนข้างอ่อน หากสามารถหลอมรวมกับโลหะอื่นได้ก็จะสามารถสร้างเข็มฉีดยาได้
หลังจากที่ฉีดยาให้ลูกสุนัขแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เหลือบมองเข็มฉีดยาที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป สิ่งนั้นเป็นสนิมและถือว่าไร้ประโยชน์
เมื่อออกมาจากห้องทดลองแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็กำลังจะไปพักผ่อน เมื่ออาอวี่เห็นก็รีบเดินเข้ามาหา และรีบบอกฉีเฟยอวิ๋นว่า:“พระชายา เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือ ถึงได้ตื่นตระหนกเช่นนี้ ?” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจมาก
“เกิดเรื่องขึ้นที่จวนอ๋องตวนพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่เดินไปข้างหน้าฉีเฟยอวิ๋น:“พระชายารองอวิ๋นกับคนรับใช้ในจวนอ๋องตวนลักลอบเป็นชู้กัน และถูกจับแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หา ?” ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งอยู่นาน เมื่อนึกถึงท่าทางของอวิ๋นหลัวฉวนแล้ว ให้ตายยังไงฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เชื่อว่านางจะแอบคบชู้
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจวินฉูฉู่ การกระทำของนางช่างเหลือเชื่อจริง ๆ
นางไม่กลัวว่าอ๋องตวนจะขายหน้า นางสนใจแค่ว่าตนเองจะได้ประโยชน์หรือไม่ !
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“ท่านอ๋องทรงรู้เรื่องนี้แล้วหรือไม่ ?”
“ท่านอ๋องยังไม่กลับมาพ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากตลาด จึงรีบกลับมาบอกพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองอาอวี่อย่างไม่สบอารมณ์:“มาบอกข้าทำไม เรื่องของจวนอ๋องตวน ข้าจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้หรือ ?”
“ก็จริงพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่เห็นด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว:“หาทางแจ้งให้ท่านอ๋องทรงทราบ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไปที่ตลาด อันที่จริงแล้วนางยังคงก็เป็นห่วงอวิ๋นหลัวฉวน สาวน้อยคนนั้นน่ารัก
ที่ประตูจวนอ๋องตวน อวิ๋นหลัวฉวนถูกควบคุมอยู่ในรถม้า นางนั่งน้ำตาคลอเบ้าอยู่ในรถม้า และกอดตัวเองไว้แน่น
ฉีเฟยอวิ๋นมองจากไกล ๆ และรู้สึกสงสารจนทนไม่ไหว
ที่ประตูจวนอ๋องตวน อ๋องตวนมองดูอวิ๋นหลัวฉวนถูกพาตัวไป ใบหน้าของเขาไม่มีความอบอุ่นใด ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นแค่อยากรู้ว่าอ๋องตวนจะชั่วร้ายไปถึงเมื่อไหร่
หนานกงเหยี่ยนไม่ได้ขัดขวางจนรถม้าจากไปไกล ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผิดหวัง
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังและกำลังจะกลับไป แล้วนางก็เห็นว่าหนานกงเย่ยืนอยู่ข้างหลังนาง