บทที่ 190 ความฉลาดเฉลียวของพระมเหสีหวา
ฉีเฟยอวิ๋นไปเข้าเฝ้าพระพันปีหลังจากไปส่งอวิ๋นหลัวฉวน ไห่กงกงอยู่ที่หน้าทางเข้าตำหนักตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นเขาจึงรีบก้าวถี่ๆ เข้าไปทำความเคารพ
“บ่าวคารวะพระชายาเย่”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบโน้มตัวลงไปประคอง “ลุกขึ้นเถิด”
ไห่กงกงลุกขึ้นและกล่าวว่า “บ่าวยินดีกับพระชายาเย่ที่ล้างมลทินให้ท่านอ๋องเย่จนได้”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจได้ทันทีว่าไห่กงกงกำลังเตือนนาง พระพันปีจะต้องอยากคุยกับนางเพราะเรื่องนี้แน่นอน
ฉีเฟยอวิ๋นใจคอเหี่ยวแห้ง ที่โลกนี้มีปัญหาเยอะกว่าโลกในชาติก่อนมาก ในชาติก่อนนางแค่ต้องอธิบายให้ซูมู่หรงฟัง ว่ากันตามตรงซูมู่หรงคือผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนาง อธิบายเรื่องใหญ่ไปประโยคเดียวก็เหมือนอธิบายให้ทุกคนรู้
แต่เมื่ออยู่ที่นี่นางต้องอธิบายทุกคนทีละลำดับขั้น และผู้นำที่อยู่เหนือนางขึ้นไปก็มีเยอะเหลือเกิน
นางไม่ต่างอะไรกับกุ้งฝอยที่อยู่บนพื้นซึ่งอาจจะถูกเหยียบย่ำจนตายได้ทุกเมื่อ
ฉีเฟยอวิ๋นถวายคำนับทันทีที่เข้าไปในพระตำหนักเฉาเฟิ่ง พระพันปีเรียกนาง “เข้ามาสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงคำขอบคุณและก้าวไปข้างหน้า นางนั่งลงและมองสีพระพักตร์ที่แจ่มใสของพระพันปี ส่วนจิ้งจอกหางสั้นกำลังนอนหมอบอยู่ข้างๆ พระนาง
จิ้งจอกหางสั้นรู้กฎระเบียบเป็นอย่างดี แม้ว่านางจะอยากวิ่งกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของฉีเฟยอวิ๋นแค่ไหนนางก็ยังนิ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อพูดถึงสติปัญญาของจิ้งจอกหางสั้น
ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมีสติปัญญา แต่สติปัญญาของจิ้งจอกหางสั้นนับว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดที่ฉีเฟยอวิ๋นเคยพบเจอ
พระพันปีทอดพระเนตรฉีเฟยอวิ๋น “นั่งลงสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นถวายคำนับและนั่งลง
พระพันปีเอนพระวรกายนอนลงบนตั่งอย่างเหนื่อยล้า
ฉีเฟยอวิ๋นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “ลูกตรวจพระวรกายให้นะเพคะเสด็จแม่”
พระพันปียื่นพระหัตถ์ออกมา หลังจากนั้นไห่กงกงจึงพาคนอื่นถอยออกไปจนในห้องบรรทมเหลือพวกนางแค่สองคน
พระพันปีตรัสถาม “การจัดการเรื่องของอ๋องแปดเป็นความคิดเห็นของเจ้าหรือว่าเป็นความคิดของเย่เอ๋อร์”
“เป็นความคิดเห็นของลูกเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นตรวจสอบพระวรกายของพระพันปีจนยืนยันได้ว่าร่างกายของพระองค์ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงได้วางมือลงและตอบ
พระพันปีจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังจัดแจงเสื้อคลุมที่สวมอยู่ให้เรียบร้อย
“ฮึ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าการแทรกแซงกิจราชสำนักมีโทษหนักขนาดไหน”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ลูกรู้เพคะ แต่ลูกนั่งรอความหายนะอยู่เฉยๆ ไม่ได้”
“ไหนลองว่ามาสิ” พระพันปียังคงเย็นชา
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “พวกเขาต้องการฆ่าท่านอ๋องเย่ ลูกทนมองอยู่เฉยๆ ไม่ได้ แม้ว่าลูกจะไม่มีความสามารถ แม้ว่าจะต้องขึ้นสวรรค์หรือลงนรกลูกก็ต้องลองดู
เป็นทางเลือกที่ช่วยไม่ได้ที่ต้องไปหาพระมเหสีหวา
เสด็จแม่ถูกพวกเขาจับจ้องไม่วางตา พวกเขาแต่ละคนปรารถนาจะให้เสด็จแม่แสดงตัวออกมา แต่เสด็จแม่อยู่ในสถานะที่มีเกียรติสูงส่ง จะลดพระองค์ไปคบค้ากับพวกเขาได้อย่างไร พวกเขารู้และมีวิธีที่ดีกว่า
พระมเหสีหวาไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นพระมเหสี แต่เมื่อมาอยู่ในวัง พระนางก็ไม่เคยอยู่ในสายตาใครเลย
ถึงแม้พระนางจะใช้อำนาจไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กล้า
เมื่อมีเสด็จแม่อยู่พระนางจะพะว้าพะวัง ถ้าเสด็จแม่ไม่สนใจพระนาง พระนางจะต้องไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเป็นแน่
ลูกคิดว่าขอเพียงแค่ทำให้พระมเหสีหวาออกหน้าได้ เท่านี้ก็จะทำให้ท่านอ๋องแปดหุบปากได้ชั่วคราวเพคะ
นอกจากนี้ลูกยังเป็นกังวลเกี่ยวกับท่านอ๋องตวน
ถ้าลูกไม่อยู่เกรงว่าจะเกิดเรื่องกับเขาที่นอกวัง ดังนั้นการทำเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายจะต้องพิจารณาอย่างแท้จริง”
“ข้าว่าเจ้าเป็นคนที่สุขุมลุ่มลึกเกินไป” พระพันปีเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่พอใจ ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงลุกขึ้นเดินไปคุกเข่าลงข้างๆ พระพันปี
ทว่านางไม่ได้พูดอะไร พระพันปีทอดพระเนตรและตรัสว่า “พระมเหสีหวาไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าที่อ๋องตวนยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งบัดนี้เป็นเพราะอะไร”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักไปนิดหนึ่งและส่ายหัวแสร้งทำเป็นไม่รู้ “ลูกน้อมรับฟังคำสั่งสอนของเสด็จแม่เพคะ”
“พื้นมันเย็น ลุกขึ้นเถิด”
พระพันปีลุกขึ้นจากตั่งเตียง ฉีเฟยอวิ๋นรีบลุกเข้าไปช่วยประคองพระองค์
พระพันปีลุกขึ้นเดินพลางตรัสว่า “เมื่อก่อนเหล่าสนมภายในวังนี้เคยต่อสู้กันอย่างดุเดือด ตราบใดที่จักรพรรดิโปรดปรานเหล่าพระสนมในตำหนักนั้นๆ ตำหนักนั้นก็จะลำพองใจไปชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นคนที่จะยิ่งลำพองใจก็คือคนที่ตั้งครรภ์โอรสมังกร
ด้วยเหตุนี้จึงถูกคนอื่นใช้ไปหาผลประโยชน์และสร้างศัตรูมากมาย ท้ายที่สุดก็มีจุดจบที่ไม่ดี
เหตุผลที่ข้ากับพระมเหสีหวาอยู่ในวังมาได้จนถึงทุกวันนี้โดยไม่ถูกสั่นคลอน ไม่ได้เป็นเพราะว่ามีแรงแบกรับจากวงศ์ตระกูลเพียงเท่านั้น
แต่ยังมีความโปรดปรานขององค์จักรพรรดิและความจงรักภักดีที่ข้ากับพระมเหสีหวามีต่ออดีตจักรพรรดิด้วย
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สนมคนอื่นๆ ไม่มีวันทำได้
แม้ว่าจักรพรรดิองค์ก่อนจะจากไปแล้ว แต่ความจงรักภักดีเช่นนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เมื่อพระมเหสีหวาเข้าวัง นางได้สร้างความดีความชอบเอาไว้
บิดาของนางได้รับบาดเจ็บอยู่หลายครั้งเพื่อฝ่าบาทและเสียชีวิตภายใต้การลอบทำร้ายของเครือญาติในตระกูล
พี่ชายใหญ่ของนางเกือบจะสิ้นชีวิตอย่างอนาถจากการช่วยเหลือองค์จักรพรรดิ หลังจากนั้นเหล่าพี่ชายของนางได้ออกไปสู้รบและสร้างคุณูปการเอาไว้ ในมือกุมกองกำลังทหารไว้ห้าแสนนาย
และกลายเป็นอันตรายร้ายแรงของราชสำนัก
ในเวลานั้นอำนาจทางการทหารอยู่ในมือของตระกูลหวา ถ้ายอมรับ ขุนนางจะมีอำนาจสูงจนกลายเป็นที่หวาดระแวง ถ้าไม่ยอมรับนั่นก็คือความโหดเหี้ยมและความไร้ความยุติธรรมของอดีตจักรพรรดิ
แต่ท้ายที่สุดแล้วตระกูลหวาก็เลือกที่จะจงรักภักดีและต้องบาดเจ็บล้มตายเพื่อเมืองต้าเหลียงนับไม่ถ้วน สร้างคุณูปการไว้จนจักรพรรดิพระองค์ก่อนต้องกล่าวถึง
พระองค์ทรงปรึกษาหารือกับข้าว่าจะตัดสินพระทัยอย่างไรดี
ในเวลานั้นจักรพรรดิพระองค์ก่อนยังทรงพระเยาว์ ราชสำนักก็ยังไม่มั่นคง
สิ่งเดียวที่ข้าคิดได้คือการให้พระมเหสีหวาเข้ามาในวัง”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักไปนิดหนึ่งและค่อยๆ หันไปมองพระพันปี พระพันปีหันกลับมามองฉีเฟยอวิ๋นและยิ้มเรียบๆ “เจ้าตกใจใช่หรือไม่ สตรีที่งดงามอรชรอย่างพระมเหสีหวาเองก็มีภูมิหลังที่ทรงอำนาจ ข้าให้นางเข้าวังถือว่าเป็นการหาความเดือดร้อนให้ตัวเองงั้นหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งคิด “แต่การที่พระมเหสีหวาเข้าวังก็สะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ แสดงให้เห็นว่าอดีตจักรพรรดิยอมรับตระกูลหวานะเพคะ และที่ล้ำลึกกว่านั้นคือการนำตัวพระมเหสีหวาเข้ามาในวังเป็นตัวประกัน”
พระพันปีพยักหน้า “นั่นก็ใช่ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น แม้ว่าตระกูลหวาจะแข็งแกร่ง แม้ว่าจะซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา พวกเขาก็ไม่กล้าค้านเรื่องการส่งตัวพระมเหสีหวาเข้าวัง”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า “ลูกเข้าใจเพคะ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้คุมตัวบุตรสาวของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อควบคุมพวกเขา”
“ในเวลานั้นพระมเหสีหวาอายุเพียงสิบกว่าปี เป็นสาววัยแรกแย้มที่ไม่ได้ผิดอะไรในตอนนั้น แต่นางหน้าตางดงามและหยิ่งยโสมาก ท่านอ๋องทั้งแปดเคยไปสู่ขอนาง ตระกูลหวารู้ดีว่าบุตรสาวของพวกเขาสามารถอภิเษกกับท่านอ๋องทั้งแปดได้โดยง่าย
ในเวลานั้นจักรพรรดิพระองค์ก่อนก็ยังทรงพระเยาว์เช่นกัน เพื่อบำรุงขวัญตระกูลหวา พระองค์จึงต้องไปที่ตระกูลหวาด้วยพระองค์เอง
หากต้องการควบคุมพระมเหสีหวา ก็ทำได้แต่ต้องทำให้พระมเหสีหวารักองค์จักรพรรดิจากใจจริง ซึ่งองค์จักรพรรดิทรงทำได้อย่างแน่นอน
ที่พระมเหสีหวาถือตัวเช่นนี้ไม่ใช่เพราะตระกูลของนางเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะน้ำพระทัยของฝ่าบาทด้วย
ในช่วงที่กำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม เป็นไปไม่ได้ที่พระมเหสีหวาจะชอบองค์จักรพรรดิในทันที แต่เท่าที่ข้ารู้ จักรพรรดิพระองค์ก่อนไม่ได้โกหกปกปิดเลยแม้แต่น้อย
ทว่าฝ่าบาทตรัสว่า พระองค์ทรงประหลาดพระทัยมากตอนที่พบเจอกับพระมเหสีหวา นางคือสตรีที่งดงามที่สุดที่พระองค์เคยพบเจอ แต่พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่จะหวั่นไหวเพราะความงามและยังทดสอบความสามารถของพระมเหสีหวาด้วย จากนั้นจึงพบว่าพระมเหสีหวาไม่เพียงแต่จะฉลาดเท่านั้น แต่นางยังเป็นสตรีที่มองการณ์ไกล
จักรพรรดิพระองค์ก่อนตรัสว่าพระองค์มีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลหวา พระมเหสีหวาเป็นผู้ที่มาร้องขอและยอมเข้าไปในวังด้วยตนเอง แต่นางต้องการให้ฝ่าบาททรงรับปาก ว่าตราบใดที่ตระกูลหวายังจงรักภักดี พระองค์จะต้องไม่ทรงฟังคำให้ร้ายและปลิดชีพคนในตระกูลหวา แต่ถ้าตระกูลหวาคิดการกบฏจริง พระมเหสีหวาจะยอมปลิดชีพเป็นคนแรกเพื่อชดใช้ความผิด
จากนั้นพระมเหสีหวาจึงเข้ามาในวัง”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ พระนางรู้ตั้งแต่ตอนนั้น
แต่จะไม่พยายามก็ไม่ได้ จากนั้นจึงตอบไปว่า “พระนางฉลาดมากเพคะ”