Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 934

ตอนที่ 934

ตอนที่ 934 แม่น้ำพรมแดนเปลี่ยนแปลง
พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย

สำหรับหลินสวิน การที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงสามารถ ‘ตายแล้วฟื้นคืนชีพ’ ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่า สถานการณ์เช่นนี้มีเพียงดื่มให้เมาจึงจะสะใจ

“หากข้าพูดความจริงเจ้าอย่าตีข้าล่ะ”

“ว่ามา!”

“ตอนที่เลือกจบชีวิตตัวเองในเทศกาลโคมกถามรรค ข้าก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์เท่าไหร่ เพราะข้ารู้ว่าสักวันข้าจะฟื้นกลับมา แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้สึกผิดถึงเพียงนี้ ฮ่าๆๆๆ หากเผยแพร่ออกไปว่าเทพมารหลินเองก็รู้สึกผิดเป็น ผู้คนบนโลกจะคิดอย่างไร”

“ไสหัวไป!”

“นี่ อย่าทำสีหน้าแย่ขนาดนี้ ดื่มเหล้าๆ”

ริมทะเลสาบหลิวเขียว หลินสวินกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงกำลังดื่มเหล้า ข้างๆ ทั้งสองมีไหเหล้าล้มระเนระนาดอยู่สิบกว่าไหแล้ว

เหล้านี้คือ ‘เมานิรันดร์’ ที่เมืองพันทะเลสาบหมักขึ้นพิเศษ รสชาติเผ็ดร้อนราวกับกลืนไฟลงคอ

ทั้งสองต่างเมาจนตาเบลอพร่า หากไม่ใช่เพราะมีพลังปราณอยู่กับตัว คงเมามายจนไม่รู้เรื่องราว เฝ้าฝันถึงไหนต่อไหนตั้งนานแล้ว

ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยยืนอยู่ห่างๆ ยิ้มมองภาพทั้งหมด แค่มองอยู่เช่นนี้เขาก็รู้สึกมีพลังและสบายใจอย่างมากแล้ว

“เพื่อไม่ให้พลอยเดือดร้อนไปด้วย สำนักยุทธ์พันเวทได้ตัดขาดกับเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไร”

“ง่ายมาก เดินบนทางของตน แจ้งมรรคของตน ใต้หล้ายิ่งใหญ่เพียงนี้ จะไม่มีที่ยืนของข้าเยวี่ยเจี้ยนหมิงเลยหรือ”

“เจ้าไม่แค้นหรือ”

“แน่นอนว่าแค้น ข้าเห็นสำนักเป็นบ้าน พวกเขากลับทอดทิ้งข้า แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็มีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงกับข้า แม้จะเกลียดแค้น ก็จะไม่ไปทวงความเป็นธรรมอะไร ตัดขาดความสัมพันธ์กันเช่นนี้ก็ดีแล้ว”

“ดูท่าเจ้าจะคิดตกแล้ว”

“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดตก ข้าไม่ใช่อริยะที่รู้แจ้งถ่องแท้ ถูกทอดทิ้งเช่นนี้ในใจข้าก็อัดอั้น คอยดูเถอะ สักวันข้าจะทำให้สำนักยุทธ์พันเวทเสียใจภายหลังกับการตัดสินใจนี้!”

“นี่ถึงจะเหมือนลูกผู้ชาย”

“ข้าก็เป็นลูกผู้ชายอยู่แล้ว!”

ระหว่างดื่มเหล้า ทั้งสองคุยกันหลายเรื่องเหมือนขี้เหล้าสองคน คุยกันอยู่ริมฝั่งทะเลสาบหลิวเขียวอันเงียบสงบไม่หยุด นกกระสาไม่รู้เท่าไหร่บินว่อน

จวบจนกระทั่งสายันณ์ แสงอาทิตย์ยามเย็นเรืองรอง ย้อมพื้นผิวทะเลสาบเป็นสีแดง เยวี่ยเจี้ยนหมิงที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งร่างเมาจนตาพร่ามัว สะอึกพูด “ข้าจะไปแล้ว จะไปจากเมืองพันทะเลสาบ”

“ไปไหน”

“พเนจรทั่วหล้า” เยวี่ยเจี้ยนหมิงหัวเราะแฮะๆ พูด

จากนั้นเขาก็ขึ้นขี่หลังม้าตัวผอมแห้งสีขนไม่เสมอที่ข้ารับใช้ชราตระกูลเยวี่ยจูงเข้ามา มาโบกมือให้หลินสวินแล้วขี่ม้าจากไป

เรียกได้ว่าจากไปอย่างอิสระเสรี

บางทีก็อาจเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ เขาเคย ‘ตาย’ มาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ไม่สามารถรู้แจ้งอย่างถ่องแท้ แต่บางเรื่องก็คิดตกได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

การจากไปครั้งนี้ ก็เพื่อเดินบนทางของตน แจ้งมรรคของตน

“อย่ากังวลว่าหนทางเบื้องหน้าไร้มิตรรู้ใจ ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดมิรู้จักท่าน”

ในระยะไกล เสียงหัวเราะของเยวี่ยเจี้ยนหมิงดังลั่นมา “หลินสวิน ข้าจะไปหาเจ้าที่แดนชัยบูรพา”

เสียงค่อยๆ เบาจนกระทั่งไม่ได้ยิน ท่ามกลางพระอาทิตย์ตก ข้ารับใช้ชราจูงม้าตัวผอม เงาร่างของเยวี่ยเจี้ยนหมิงส่ายไปมา เดินห่างไกลออกไปแล้ว

หลินสวินมองส่งอีกฝ่ายจากไป ครู่ใหญ่จึงยิ้มพูด “พเนจรทั่วหล้าบ้าบออันใด เจ้าไปเที่ยวเล่นล่ะสิ…”

……

สองวันหลังจากนั้น ณ นครเตโช

หอสุราเหมยเมามาย ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เป็นสถานที่นัดพบของหลินสวินกับไป่เฟิงหลิว

เจ้าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวมาถึงแล้ว แวบแรกที่เห็นหลินสวินเขาก็ถอนหายใจเอ่ย “ใครจะไปคิดว่าเทพมารหลินที่ก่อเรื่องวุ่นวายจนไก่กระพือหมากระเจิงไปทั้งแดนฐิติประจิม ตอนนี้กำลังเลี้ยงข้าไป่เฟิงหลิวเพียงลำพัง”

ไป่เฟิงหลิวคนนี้ยังคงไร้ยางอายและไม่ปกติเหมือนที่ผ่านมา

“หยุดพูดจาไร้สาระ ตามเจ้ามาครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะถาม” หลินสวินพูดอย่างไม่อภิรมย์

ไป่เฟิงหลิวกลอกตาพูด “ให้ข้าเดา เกี่ยวข้องกับการไปจากแดนฐิติประจิมใช่หรือไม่”

หลินสวินแปลกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ไป่เฟิงหลิวสีหน้าได้ใจเต็มประดา ยิ้มพูด “เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นชายที่ต้องการจะเป็น ‘ราชันแห่งข่าวสาร’ เชียวนะ เรื่องที่เกิดขึ้นในแดนฐิติประจิมจะปิดบังหูตาข้าไปได้หรือ”

หลังจากผ่านการอธิบาย หลินสวินจึงรู้ว่าสำนักโบราณมากมายได้คาดเดาออกมานานแล้วว่า ภายใต้สถานการณ์ที่คลื่นลมพัดโหมเช่นนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตนจะเลือกจากไป เพราะมีเพียงเช่นนี้ จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการแก้แค้นมากมายที่จะมาถึงตัวได้

“ปัจจุบัน แต่ละขุมอำนาจเก่าแก่ยิ่งใหญ่อย่างเผ่าฉลามสมุทร ตระกูลจงหลี เผ่าหงส์เขียว อารามพรางมรกต เผ่าอสนีรกร้าง… ได้ประกาศกร้าวแล้วว่า ใครกล้าช่วยเจ้าเทพมารหลินออกจากแดนฐิติประจิม ก็จะกลายเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเขา จะต้องประสบเคราะห์ถูกกวาดล้างสำนัก!”

สีหน้าไป่เฟิงหลิวเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พูดว่า “ในขณะเดียวกัน ขุมอำนาจเหล่านี้ได้ส่งกองกำลังต่างๆ ตามหาร่องรอยของเจ้าในแดนฐิติประจิมอย่างเต็มกำลัง ทั้งยังตั้งรางวัลนำจับที่เรียกได้ว่าน่าทึ่ง ท่าทางต้องการกำจัดให้สิ้นซาก”

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า แม้เทศกาลโคมกถามรรคสิ้นสุดลงแล้ว แต่สถานการณ์ของเขากลับยิ่งไม่สู้ดี

“ดูเหมือนพวกเขาคงคิดว่าข้ายังฆ่าคนไม่มากพอ” เขาพึมพำ

ไป่เฟิงหลิวรีบพูดว่า “เจ้าอย่าซี้ซั้วทำอะไร ได้ยินว่าครั้งนี้เพื่อจะเล่นงานเจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันของขุมอำนาจไม่น้อยต่างเตรียมเคลื่อนพลแล้ว!”

หลินสวินเงียบไปชั่วขณะ ว่ากันถึงที่สุด พวกเขาก็แค่รังแกตนที่หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีคนหนุนหลังก็เท่านั้น!

ไป่เฟิงหลิวเอ่ยเสียงทอดถอนใจ “หากจะไปเผชิญหน้ากับสำนักโบราณเหล่านั้นเพียงลำพังก็ยากเกินไปจริงๆ ไม่ต่างอะไรกับการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ข้าว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องใจเย็น ออกจากแดนฐิติประจิมไปหลบภัยสักหน่อยก็ดี”

หลินสวินพยักหน้า “ข้าไม่บุ่มบ่ามทำอะไรหรอก”

เขาวางแผนจะเดินทางไปยังแดนชัยบูรพาอยู่แล้ว แม้ในใจเคียดแค้นที่สำนักโบราณเหล่านั้นรังแกกัน แต่ก็รู้ว่าก่อนที่ตนจะก้าวสู่ระดับราชัน ก็ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงความขัดแย้งนี้ไปก่อน ออกจากกระแสน้ำวนอันตรายที่ร้อนแรงอย่างแดนฐิติประจิมนี้ซะ

แน่นอนว่าแม้ไม่จากไป หลินสวินก็ไม่กลัวทั้งหมดนี้

ในมือเขายังมีไม้ตายไม่น้อย แม้ไม่สามารถกำจัดสำนักโบราณพวกนั้นให้สิ้นซากได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บหนัก พลังชีวิตเสียหาย!

ที่พำนักของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬในแดนฐิติประจิมถูกกวาดล้าง ก็เป็นการยืนยันที่ดีที่สุด

ทว่าหากไม่ถูกบีบจนจนตรอก หลินสวินก็จะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากหญิงลึกลับในห้องโถงมรรคาสวรรค์นั่น

หญิงลึกลับคนนั้นรับปากจะช่วยเขาสามครั้ง เขาใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่อยากสูญเสียโอกาสอันล้ำค่ายิ่งกับเรื่องไม่จำเป็นพวกนั้นอีก

“จริงสิ สุดท้ายศุภโชคอันดับหนึ่งในเทศกาลโคมกถามรรคถูกใครช่วงชิงไป” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น

ไป่เฟิงหลิวส่ายหน้า “ไม่แน่ชัด อาจจะเป็นจี้ซิงเหยา หรืออาจจะเป็นลั่วเจียผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมที่มาจากแดนประมุขพิภพ”

พูดถึงตรงนี้ไป่เฟิงหลิวก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง พลันพูดอย่างมีลับลมคมใน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอวี่หลิงคงยังไม่ตาย”

เป็นจริงดังคาด!

หลินสวินสะท้านในใจ แม้ไป๋หลิงซีจะเคยพูดเรื่องนี้แล้ว แต่เมื่อได้รับการยืนยันจากไป่เฟิงหลิวเขาก็ยังรู้สึกหดหู่ไม่น้อย อยากฆ่าบุคคลแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง ยากมากจริงๆ…

“ได้ยินว่าเจ้าหมอนั่นถูกสมบัติอริยะตำหนักอมตะช่วยไว้ แต่เพราะบาดแผลรุนแรงไม่น้อย จึงเร่งรีบออกจากแดนฐิติประจิม กลับแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณเพื่อฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบ”

“ก่อนไปเขาเคยพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า เจอกันครั้งหน้าจะเป็นวันตายของเจ้า!”

สีหน้าของไป่เฟิงหลิวเองก็แฝงความจริงจัง “ต้องยอมรับว่ารากฐานพลังของอวี่หลิงคงนั่นน่าทึ่งเกินไปแล้ว นี่เท่ากับเจ้าฆ่าเขาครั้งหนึ่งแล้ว ข้าสงสัยว่า ไม่ว่าจะเป็นแดนพิสุทธิ์อมตะหรือตระกูลอวี่ล้วนยืนอยู่ข้างอวี่หลิงคง เห็นเจ้าเป็นหนามยอกอก!”

หลินสวินได้ยินเช่นนี้กลับยิ้ม ขุมอำนาจที่เห็นเขาเป็นศัตรูมีไม่รู้เท่าไหร่ จนตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ

เขาพูดอย่างสบายๆ “เจ้าหมอนั่นตายไปแล้วครั้งหนึ่งก็ยังไม่หลาบจำ ยังจะกล้าคุยโวเช่นนี้ เช่นนั้นก็ลองดูว่าใครจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด”

ไป่เฟิงหลิวชูนิ้วโป้งขึ้นชม “ข้าไม่นับถือใครทั้งนั้นนอกจากเจ้าเทพมารหลิน ปั่นโลกจนสับสนวุ่นวาย ตั้งแต่อดีตและปัจจุบัน ทอดสายตามองไปในยุคนี้ ผู้กล้าคนใดที่สามารถครอบครองความองอาจและฝีมือระดับนี้”

หลินสวินหมดคำพูด “อย่าทำให้ข้าสะอิดสะเอียนถึงเพียงนี้ได้หรือไม่”

ไป่เฟิงหลิวหัวเราะแฮะๆ “ได้ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ตอนนี้เจ้าอยากไปจากแดนฐิติประจิม จะพึ่งค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณของสำนักโบราณเห็นจะไม่ได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี”

“ลองว่ามา”

“จากข่าวล่าสุดที่ข้ารู้มา แม่น้ำพรมแดนที่กระจายอยู่ในสี่แดนวิภูอย่างชัยบูรพา ฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณ ตอนนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือแม่น้ำพรมแดนกำลังค่อยๆ หายไป!”

“หายไปหรือ”

“ใช่ อิงจากการวิเคราะห์ของสัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้สี่แดนวิภูที่เดิมแบ่งแยกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณสิ้นสุดสภาพแตกแยก กลับมาสมบูรณ์เหมือนในอดีตอีกครา”

“แต่ตอนนี้มีเพียงแค่เล็กน้อย ตามการคาดการณ์ เมื่อมหายุคมาเยือนอย่างแท้จริง สี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณจะทำลายรูปแบบแตกแยกโดดเดี่ยว และกลับคืนสู่สภาพโลกที่สมบูรณ์”

“และการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ก็ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณที่มหายุคจะมาเยือน”

“ถึงตอนนั้น สี่แดนวิภูรวมเป็นหนึ่ง ดินแดนรกร้างโบราณจะต้องปรากฏมหายุครูปแบบใหม่!”

พูดถึงตรงนี้ไป๋เฟิงหลิวเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ สี่แดนวิภูแยกจากกันมานานแล้ว ขัดขวางหนทางของผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่

สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไป อยากจะข้ามไปฝึกปราณที่แดนวิภูอื่น ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ เพราะมีแม่น้ำพรมแดนที่อันตรายเกินคาดเดาขวางกั้นอยู่

ตอนนี้ได้ปรากฏสัญญาณที่สี่แดนวิภูจะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว มหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ถูกกำหนดให้มาเยือน จะให้ไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร

หลินสวินอดหวั่นไหวไม่ได้ เท่าที่เขารู้ สมัยโบราณสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณเป็นโลกที่สมบูรณ์ใบหนึ่ง เพียงแต่ภายหลังเพราะการเปลี่ยนแปลงสะเทือนฟ้าครั้งหนึ่ง ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณแตกออก แบ่งออกเป็นสี่แดนวิภูจนถึงทุกวันนี้

หากครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันและฟื้นฟูความสมบูรณ์ นี่ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับผู้ฝึกปราณทุกคน

“แน่นอนว่าพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ยังเร็วไป แต่พลังของแม่น้ำพรมแดนกำลังลดลงเป็นความจริงที่ไร้ข้อกังขา ปัจจุบันผู้ฝึกปราณมากมายในแดนฐิติประจิมได้เริ่มค้นหาความลับที่แม่น้ำพรมแดนเกิดการเปลี่ยนแปลง พยายามหาเส้นทางสู่โลกอีกฝั่ง”

ไป่เฟิงหลิวพูด “หากเจ้าต้องการจากไป เลือกข้ามแม่น้ำพรมแดนก็ได้”

“ข้ามแม่น้ำพรมแดนงั้นหรือ” หลินสวินเหมือนคิดอะไรอยู่

“ใช่ เจ้าไตร่ตรองดูก่อน หากตัดสินใจจะทำเช่นนี้จริงๆ ข้าสามารถจัดเตรียมฐานะใหม่ให้เจ้า เข้าร่วมขบวนหนึ่งเพื่อเคลื่อนไหวพร้อมกัน อีกสามวันก็สามารถออกเดินทางได้”

ไป่เฟิงหลิวสีหน้าเคร่งเครียด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท