องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บบที่ 368 เข้าวัง
“ฮูหยินใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะอธิบายกับฉวนเอ๋อร์เอง”
ท่านอ๋องตวนหมุนตัวเดินจากไป ฮูหยินใหญ่กั๋วกงหมดความอดทน จึงได้เดินเข้าไปเยี่ยมอวิ๋นหลัวฉวนด้วยตนเอง
ฉีเฟยอวิ๋นมั่นใจว่าอวิ๋นหลัวฉวนไม่เป็นไร นางจึงกลับจวนอ๋องเย่
อีกหนึ่งถึงสองวันนี้หนานกงเย่ต้องไปชายแดน
หลังจากกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ฉีเฟยอวิ๋นก็พักผ่อนหนึ่งวันเต็ม หนานกงเย่ได้เตรียมตัวจะไปชายแดน
ฉีเฟยอวิ๋นไปส่งเขานอกเมือง จัดระเบียบเสื้อผ้าบนร่างกายให้แก่หนานกงเย่เล็กน้อย ก่อนกำชับว่า : “เดินทางระวังด้วยนะเพคะ จำไว้ว่าต้องส่งข่าวผ่านทางนกพิราบมาให้หม่อมฉันเป็นระยะ
พาเจ้าอีกาน้อยและเจ้าจิ้งจอกหางสั้นไปด้วย มีเรื่องมีราวจะได้ดูแลกันและกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าจิ้งจอกหางสั้นให้กับหนานกงเย่ จากนั้นก็มองไปยังเจ้าอีกาน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ หนานกงเย่ปฏิเสธทันทีว่า : “ไม่จำเป็น พวกเขาอยู่ข้างกายอวิ๋นอวิ๋นดีกว่า ข้าจะได้วางใจ อาอวี่ปกป้องพระชายาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ครั้งนี้อาอวี่ไม่ได้ตามไปด้วย ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า : “ท่านอ๋อง ท่านเรียกเจ้าแห่งอีกาให้ตามท่านไปด้วยสิเพคะ”
“อื้อ”
หนานกงเย่ตอบรับพลางหมุนตัวขึ้นม้าไป ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองหนานกงเย่ นางไม่อยากแยกจากหนานกงเย่เลย แต่ชายแดนมีเรื่อง หากไม่ใช่เพราะเรื่องสำคัญ เขาไม่มีทางไม่ไป นางเองก็ถ่วงรั้งเขาไว้ไม่ได้
เมื่อเห็นหนานกงเย่ควบม้าจากไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ปล่อยผ้าลงมาคลุมใบหน้า และยืนมองดูหนานกงเย่จากไป
ม้าวิ่งออกไปไกลเรื่อย ๆ ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าครั้งนี้หนานกงเย่ไปจริง ๆ แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นจึงหมุนตัวกลับไป
เส้นทางออกจากตัวเมืองต้องเดินทางเป็นระยะทางสิบลี้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงนั่งรถม้ากลับไป อาอวี่ประคองฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถม้า จากนั้นอาอวี่ก็ควบม้าและบังคับรถม้ากลับไป
หลังจากเดินทางได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงขบวนแห่ศพ ฉีเฟยอวิ๋นเปิดม่านบนรถม้าและชะโงกหน้าออกไปด้านนอกด้วยความแปลกใจ ท้องฟ้าเดิมทีเต็มไปด้วยหมอกจาง ๆ เวลานี้เริ่มมีฝนตกโปรยปรายลงมา
ทางฝั่งเมืองหลวง มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับแบกโลงศพไม้สีแดงที่ค่อนข้างหนักโลงหนึ่งไว้บนบ่า บุรุษที่แบกป้ายวิญญาณของผู้ตายเดินอยู่ด้านหน้าเป็นบุรุษในชุดดำผอมโซ ด้านหลังเป็นชายฉกรรจ์แบกโลงศพจำนวนสี่คน ตามมาด้วยแม่นมที่มีอายุมากแล้วคนหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังทิศทางที่คนเหล่านี้เดินไป ก่อนถามอาอวี่ว่า : “ใครกัน? เหตุใดถึงได้ยากจนข้นแค้นเช่นนี้?”
“จวินฉูฉู่” อาอวี่หยุดรถม้าไว้ข้างทาง ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เดินลงจากรถม้า
เมื่อขบวนแห่ศพเดินออกไปไกล ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นคนที่เดินออกมาจากเมืองหลวง ท่านอ๋องตวนในชุดสีดำทั้งตัว เดินตามอยู่ด้านข้าง
ขบวนแห่งศพเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก่อนวางโลงศพไม้นั้นลงบนพื้น หยิบน้ำมันออกมาราดใส่โลงศพไม้นั้น
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ : “พวกเขาจะทำอะไร?”
อาอวี่จึงอธิบาย : “นี่คือประเพณีดั้งเดิม นางตายแล้วไม่สามารถฝังในหลุมศพเดียวกับบรรพบุรุษของตระกูลจวินได้ ตระกูลจวินไม่ยอมรับสตรีที่แต่งงานออกเรือนแล้วกลับเข้ามา และไม่ยอมรับคนที่ตายไม่ดีเช่นนี้ด้วย
จวนอ๋องตวนก็ไม่ยอมรับ ทำได้แค่ทิ้งไว้ในพื้นที่ห่างไกลและปล่อยให้สัตว์ป่ามาแทะกิน การเผาเช่นนี้ ถือว่าเป็นการลดโทษลงส่วนหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังท่านอ๋องตวนที่เดินตามมา นึกถึงครั้งแรกที่เจอเขาและจวินฉูฉู่ พวกเขาช่างเป็นคู่ที่รักใคร่กลมเกลียวกันมากทีเดียว
จุดจบเช่นนี้ ใครเล่าจะไปจะคาดคิด!
บนโลงศพล้วนเต็มไปด้วยน้ำมัน จากนั้นก็ทำการจุดไฟ
ฝนยังคงโปรยปรายลงมา ราวกับจะช่วยดับไฟ แต่กำลังไฟนั้นรุนแรงมาก ดับอย่างไรก็ดับไม่ได้
ท่านอ๋องตวนยืนมองอย่างเหม่อลอยเช่นนั้นอยู่ไม่ไกลนัก เขาไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ไม่ทำสิ่งใดทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงไหน โลงศพนั้นจึงได้เกิดเสียงแกรก ๆ และทรุดตัวลงทันที ศพที่อยู่ภายในโดนแผดเผาจนดำปี๋ ไม่เห็นเคล้าโคลงเดิม
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากเห็นอีก จึงได้หมุนตัวและกลับขึ้นรถม้าไป
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงถามอาอวี่อยู่เรื่อย ๆ คิดอย่างไรกับเรื่องของจวนจวินที่มีต่อจวินฉูฉู่
อาอวี่จึงกล่าวว่า : “ได้ยินว่าเรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับพระพันปีและพระมเหสีอย่างมาก พระมเหสีรับสั่งให้คนลากศพของจวินฉูฉู่กลับไปยังจวนราชครูจวิน ศพโดนทิ้งอยู่บนถนนอย่างน่าสังเวทใจ ได้ยินว่าคนที่เห็นนั้นตกใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน เรื่องนี้พระมเหสีเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้ราชครูจวินจึงถูกโยงเกี่ยวพันด้วย ทั่วทั้งจวนราชครูจวินต่างพากันหวาดกลัวยกใหญ่
ส่วนหวงกุ้ยเฟยก็ถูกนำไปตัวไปขัง”
“พระมเหสีไม่มีทางวางมือเป็นแน่ แต่ราชครูจวินเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องราวใหญ่โต รอให้เรื่องนี้สงบลงก็คงไม่เป็นไร”
อาอวี่กล่าวถาม : “พระชายารู้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“เรื่องไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิดไว้ถึงเพียงนั้นหรอก หลานของพระมเหสีก็ไม่มีแล้ว นางย่อมชิงชังเป็นธรรมดา สร้างปัญหาให้แก่ราชครูจวินเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ต้องมีการยับยั้งชั่งใจบ้าง ส่วนเรื่องระบายอารมณ์โกรธนั้น หลังจากที่จวินฉูฉู่ถูกลากกลับมานั้น ก็คงจะพากันไม่พอใจกันไม่น้อย
ตอนนี้ท่านอ๋องตวนไม่เป็นไรแล้ว พระชายารองอวิ๋นก็ไม่เป็นไรแล้ว เรื่องนี้ยังพอมีโอกาสแก้ไขได้
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
อาอวี่อดชื่นชมไม่ได้ ฉีเฟยอวิ๋นพูดได้ว่าฉลาดปราดเปรื่องเหมือนกับจูกัดเหลียงในขงเบ้งเลยทีเดียว ไม่มีเรื่องที่นางไม่เข้าใจ
หลังจากกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้พักผ่อนหนึ่งวันเต็ม เช้าวันที่สองจึงถูกเรียกเข้าวัง
“หม่อมฉันขอคารวะฮองเฮา พระมเหสี ฝ่าบาท….”
ฉีเฟยอวิ๋นโน้มตัวแสดงความเคารพ พระพันปีกล่าวขึ้นว่า : “ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธีหรอก ตอนนี้เจ้ามีครรภ์อยู่”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขอบคุณและลุกขึ้น จากนั้นก็เดินมาข้างกายของพระพันปี ซึ่งไห่กงกงได้ย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว พระพันปีจึงได้เชิญนางนั่ง
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้นั่งลง
สีหน้าของพระพันปีไม่สู้ดีนัก ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล : “เสด็จแม่ หม่อมฉันขอดูอาการเสด็จแม่หน่อยนะเพคะ”
“ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ข้ายังสบายดี เจ้าไปดูพระมเหสีเถอะ สองสามวันมานี้นางเอาแต่ร้องไห้ตลอด นอนก็ไม่หลับ”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไปตรวจดูอาการให้แก่พระมเหสีหวา ซึ่งการเต้นของชีพจรนางนั้นค่อนข้างซับซ้อนมาก เห็นได้ชัดว่ามีอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านและโมโหร้ายอย่างรุนแรง ต้องดับไฟแห่งความโกรธนั้นและทำจิตใจให้สงบ
“อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะจัดพระโอสถให้แก่พระมเหสีนะเพคะ พระมเหสีจะต้องเสวยพระโอสถอีกสองสามวันอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่อาการเจ็บป่วยของคนเรามาจากสภาพจิตใจ พระมเหสีต้องดูแลตนเองด้วยนะเพคะ”
“อวิ๋นอวิ๋น… เจ้าบอกความจริงข้ามาเถอะ พระชายารอง ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า : “นางไม่เป็นไรเพคะ แท้งลูกก็ต้องบำรุงเสริม อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี”
พระมเหสีหวายังรู้สึกตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย จึงลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า : “หม่อมฉันต้องกลับแล้ว ท่านพี่ หม่อมฉันทูลลา”
พระมเหสีหวาหมุนตัวและเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้มองไปยังพระพันปี
พระพันปีลุกขึ้นพลางยื่นมือไปจับประคองฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นก็ได้เข้ามาประคองพระพันปีเดินลงบันไดไปด้านนอกตำหนัก
ไห่กงกงตามหลังไป พลางตะโกนออกคำสั่งให้จัดรถไปยังศาลบรรพชน
“เย่เอ๋อร์ไปแล้วหรือ?” พระพันปีถามนาง ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้พยักหน้า
แม่สามีและสะใภ้จึงได้พูดคุยกัน
“ในวังยังไม่ค่อยสงบเท่าไหร่นัก ด้านนอกก็ยังไม่สงบอีก จวินฉูฉู่จากไปไม่น่าเสียดาย แต่นางกลับทำร้ายเด็กผู้น่าสงสารด้วยนี่สิ” พระพันปีนึกถึงเรื่องนี้ก็พาลโกรธไม่หาย
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขึ้นว่า : “ในความโชคร้ายก็อาจจะมีความโชคดีอยู่ก็ได้นะเพคะ?”
พระพันปีมองออกไป : “คำพูดนี้อย่าให้พระมเหสีได้ยินเชียวนะ หากนางได้ยินจะต้องไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเป็นแน่”
“หม่อมฉันเข้าใจ หม่อมฉันก็คิดเช่นนี้ ครั้งนี้ท่านอ๋องตวนดูเสียใจเป็นอย่างมาก แค่จะรั้งพระชายารองอวิ๋นไว้ก็ยังพูดไม่ได้ ดูจากท่าทางของนางแล้วคงจะท้อแท้สิ้นหวัง หากท่านอ๋องตวนรั้งกลับมาได้ก็คงเป็นเรื่องดี”
“ดูท่าทางเจ้ายังพอเข้าใจ ข้ารู้สึกว่า เด็กสาวของตระกูลอวิ๋นผู้นี้ทำให้เขามีความสุขยิ่งกว่าตระกูลจวิน แม้ว่าจะสูญเสียเด็กไปแล้วหนึ่งคน แต่กลับคว้าใจของท่านอ๋องตวนมาครอบครอง ส่วนจวินฉูฉู่ มีความห้าวหาญแต่ไร้จิตวิญญาณความเป็นคนมีจุดจบเช่นนี้ถือว่าเมตตามากแล้ว”
เมื่อมาถึงศาลบรรพชน ก็เห็นคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของศาลบรรพชน
ฉีเฟยอวิ๋นพยายามมองดูอย่างละเอียด พบว่าเป็นอาวุโสมีอายุผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดทางการของราชครู บนศีรษะมีหมวกของราชครูสวมอยู่
ดูจากรูปร่างผอมบางของเขาแล้ว จะต้องเป็นราชครูไม่ผิดตัวแน่
พระพันปีพาฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไป ราชครูจวินกุมมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน คุกเข่าลงอยู่ตรงนั้น สายตาทอดมองไปยังทิศทางของศาลบรรพชนด้วยความเมตตา
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปพร้อมกับพระพันปีและคุกเข่าลง ก่อนจะเอ่ยถามว่า : “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ราชครูจวินคุกเข่าที่นี่หรือ?”
“เขาอยากคุกเข่าของเขาเอง ทำร้ายสายเลือดจักรพรรดิ คงจะรู้สึกผิดต่ออดีตจักรพรรดิ”
“เสด็จแม่ ราชครูจวินไม่เหมือนกับขุนนางทุจริตผู้อื่น และไม่เหมือนกับทาสผู้ซื่อสัตย์ เช่นนั้นเขาเป็นสิ่งใด?” ฉีเฟยอวิ๋นอยากถามมานานแล้ว
พระพันปีขบขัน : “เรื่องนี้คนข้างกายข้าไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม มีแต่เจ้า!”
“หม่อมฉันรู้ผิดไปแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นรีบกล่าวขอโทษ นางลืมสถานะของตนเองไปเสียสนิท
พระพันปีจึงได้เล่าเรื่องของราชครูผู้นี้ให้นางฟัง
บทที่ 367 ของแค่แยกทาง