หลังจากที่จวินอีเซี่ยวตายได้หาสถานที่กลบฝังศพเรียบร้อยแล้ว จวินเจิ้งตงเสียใจอยู่ไม่กี่วัน ไม่กี่วันหลังจากนั้นได้มอบตราประทับโดยสมัครใจ และยินยอมกลับเมืองหลวงพร้อมกับบุตรสาวจวินเซียวเซียวด้วย
หนานกงเย่มอบตราประทับแก่เฉินอวิ๋นเจี๋ยเป็นการชั่วคราว เขาทำหน้าที่แทนท่านแม่ทัพใหญ่ปกป้องชายแดน และจวินอีไท่กับจวินอีเต๋อเป็นรองแม่ทัพ
ท่านแม่ทัพฉีได้ให้นายทหารข้างกายสองคนอยู่ช่วยเหลือปกครองเฉินอวิ๋นเจี๋ย จากนั้นได้นำกองกำลังทหารกรีธาทัพกลับราชสำนัก ส่วนอวิ๋นจิ่นและคนอื่นๆตามกันมา
มู่เหมียนตัดสินใจอยู่ช่วยเฉินอวิ๋นเจี๋ย เรื่องนี้หนานกงเย่เลยรีบตอบรับ
ฉีเฟยอวิ๋นมองสายตาของเขาที่เปลี่ยนไป
ที่เห็นได้ชัดคือการได้รับประโยชน์จากส่วนรวมเบียดบังไปเป็นของตนเองนั่นเอง
ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย ฉีเฟยอวิ๋นกับมู่เหมียนไม่ต้องกล่าว
“ท่านตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่ว่าต้องการที่จะอยู่ช่วยเหลือท่านแม่ทัพเฉิน?”สำหรับการเตรียมการของหนานกงเย่ตั้งแต่ต้นจนจบฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่ามีเหตุผล
แต่เรื่องที่เอามู่เหมียนไว้นั้น ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่กล้าเห็นพ้องตาม
“ข้าคุ้นชินกับการอยู่ด้านนอกแล้ว ท่านพ่อของข้าส่งข้าออกไปก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว อยู่ในเมืองหลวงในอนาคตก็มิรู้ว่าจะแต่งกับผู้ใดเพื่อเป็นพระชายารอง ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ยินยอมที่จะเป็นเช่นนั้น
ต่อให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่ดีอย่างไร ข้าก็รู้สึกว่าเขาดีกว่าผู้อื่น เขามีความอ่อนโยนของตัวเอง ในใจของเขามีท่านข้ารู้ แต่ใจของท่านไม่มีเขาข้าก็รู้
ในเมื่อพวกท่านไม่มีหนทางที่จะคบหากัน ข้าก็ไม่ได้สนใจที่ใจของเขามีท่าน นี่ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลย
อยู่สถานที่แห่งนี้ เป็นเวลานานมีเพียงข้าผู้เดียว หากเขาสามารถชอบหญิงสาวที่เมืองหลวงข้าก็คือโชคชะตาไม่ดี ไม่มีพรหมลิขิตต่อเขา
แต่หากเขามีความชอบเล็กน้อย ข้าก็นับว่าไม่ได้มาสูญเปล่า
หลังจากที่พวกท่านกลับไปแล้วช่วยนำจดหมายฉบับนี้มอบแก่อาหญิง นางรักทะนุถนอมข้าที่สุด นางจะต้องช่วยเหลือข้าแน่
ฉีเฟยอวิ๋นรับจดหมายมา ไม่ได้พูดอะไรมาก ในเมื่อมู่เหมียนตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่อยากออยู่ต่อแล้ว เลยลุกขึ้นเดินออกไปกับหนานกงเย่
ก่อนจากเฉินอวิ๋นเจี๋ยชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไป มู่เหมียนก็ไม่ได้ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์อะไร นางจึงเดินตามเฉินอวิ๋นเจี๋ยกลับไปเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเก้อเขินชั่วขณะ นิสัยอารมณ์ของทั้งสองคนนี้ช่างเหมือนกันเสียกะไรนี่
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวมองไปทางหนานกงเย่ แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง คืนวันนั้นเฉินอวิ๋นเจี๋ยมาหาท่านอ๋อง เขามาทำอันใดหรือเพคะ?”
“เขากินหนอนพิษกู่”หนานกงเย่กล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“พูดเช่นนี้ หนอนพิษกู่ที่อวิ๋นจิ่นให่ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเอาให้เขาหรือเพคะ?”
“เขาอยากได้เอง ข้ามีความลังเลใจว่าเขาจะอยู่ปกป้องชายแดนใช่หรือไม่ แต่เขาบอกต้องการหนอนพิษกู่ที่อวิ๋นจิ่นทิ้งไว้ วิงวอนให้ข้าวางใจ แต่มีอะไรที่เขาไม่รู้ ข้าไม่อยากให้เขาอยู่ไม่ใช่กังวลว่าเขาจะต่อต้าน มันเป็นเพราะความสามารถของเขาไม่เพียงพอ ”
“แต่ท่านอ๋องได้นำหนอนพิษกู่มอบแก่เขาแล้ว”
“แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ข้าเพียงแค่ทดสอบหยั่งเชิง ส่วนหนอนพิษกู่นั่น เป็นหนอนตาย อวิ๋นจิ่นบอกว่ากินไปแล้วสามวันจะขับออกมานอกร่างกาย”
“……………”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความขำขันว่า “ท่านอ๋องซื่อสัตย์จริงใจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ?”
“อวิ๋นอวิ๋น ข้าไม่อยากใช้แผนการเหล่านี้ไปหว่านซื้อดึงใจคนมาเป็นพวกพ้อง เฉินอวิ๋นเจี๋ยเกิดความผิดหวังกับฮองเฮา อยากมาที่ชายแดนไม่ใช่วันสองวัน หนังสือที่เขากล่าวกราบทูลรายงานถูกเสนาบดีกลาโหมกดไว้ ข้าไม่ใช่ไม่รู้”
“เช่นนี้ ครั้งนี้ที่พาเขามานั่นก็คือท่านอ๋องคิดไว้ดีแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่ ข้าต้องการให้เขาไปเป็นรองแม่ทัพที่อยู่ทางด้านของเฉินอวิ๋นเลี่ยท่านพี่ของเขานู่น ผ่านช่วงปีเหล่านี้ค่อยให้เขารับช่วงแทนเฉินอวิ๋นเลี่ย แล้วให้เฉินอวิ๋นเลี่ยกลับมา”
“ท่านอ๋อง ท่านเกรงว่าพวกเขาคนของสกุลเฉินจะมีทหารใช้เยอะใช่หรือไม่เพคะ?”
“วันนี้เฉินอวิ๋นชูเป็นฮองเฮาเพียงร่างกาย อีกทั้งฝ่าบาทมีจิตใจใฝ่หา ข้าจำใจอย่างยิ่งที่จะไม่เค้นความจริงกับนาง!แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของจงชิน แม้ข้าจะไม่รู้ชัดเจนว่าเพราะเหตุใด แต่ถึงอย่างไรก็คือเรื่องที่วุ่นวาย
หากนางกับจงชินทำสักเรื่องหนึ่ง กองกำลังทหารของสกุลเฉินที่อยู่ชายแดนบวกกันแล้วห้าแสนนาย ข้าจะไม่กังวลใจได้อย่างไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “เฉินอวิ๋นชูเป็นผู้หญิงของฝ่าบาท ท่านเค้นความจริงจับนางอย่างไรก็เหมือนกับกินลูกกวาดนะ!”
“ข้ายากลำบากมาก ไม่เช่นนั้นเค้นไปนานแล้ว”
“ท่านยังมีเหตุผลอีกนะ!”
“ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท ข้าคือขุนนาง จักรพรรดิกับขุนนางเสนาบดีมีความแตกต่าง อวิ๋นอวิ๋นไม่ต้องบอกข้าหรอก ข้าก็รู้เข้าใจแจ่มแจ้งดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามข้าไม่มีทางให้คนชั่วก่อเหตุได้ คนข้างกายไม่พูดนั่นเพราะเป็นฝ่าบาท ผู้ใดจะพูดจะทำล่ะ พวกเขาล้วนเป็นเสนาบดี หากว่าข้าจะพูดเป็นเพราะฝ่าบาทผู้นี้คือเสด็จพี่ของข้า!”
“ท่านอ๋องระวังอารมณ์ร้อนเพคะ”
“ข้าไม่ได้เจตนาเสแสร้ง เพียงแต่นั่นเป็นเรื่องจริงเท่านั้นเอง”
“ท่านอ๋อง เช่นนั้นเหตุใดต้องเอาตำแหน่งท่านแม่ทัพมอบแก่เฉินอวิ๋นเจี๋ยด้วยเล่า?”
“ไม่มีคนที่สามารถใช้ได้เป็นการชั่วคราว เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็ไม่มีทางต่อต้าน บางที่เขาอาจจะควบคุมเฉินอวิ๋นเลี่ยได้ และส่วนเฉินอวิ๋นเลี่ยนั้นข้าจะหาโอกาสไปทดสอบลองดู”
“……….ท่านอ๋อง ท่านทำอย่างนี้จะเหนื่อยตายหรือไม่เพคะ? ท่านอ๋องเพิ่งจะอายุสิบเก้า เหตุใดความทุกข์ใจมีมากมายเช่นนี้?”
ฉีเฟยอวิ๋นเจ็บปวดใจสงสารเขาอย่างแท้จริง เธอฟุบอยู่ในอ้อมกอดของเขา อิงแอบฟังการเต้นของหัวใจด้วย
หนานกงเย่ยกมือสวมกอดฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นกล่าวว่า “ข้าเพิ่งอายุสิบเก้าปี เมื่อเทียบกับคนอายุเก้าสิบเอ็ดปีแล้วข้ายังเหนื่อยกว่าเลย”
ฉีเฟยอวิ๋นตอบรับแค่อืม และหรี่ตาลง
สิบวันต่อมา กองทัพใหญ่มาถึงสถานที่ที่ท่านแม่ทัพฉีประจำการอยู่นอกเมืองหลวงด้วยความเร็วสูง
วันถัดมาฉีเฟยอวิ๋นก็มาถึงเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าถึงได้รู้ ก่อนหน้านี้เดินมาแล้วหนึ่งเดือน เป็นความหมายความต้องการของหนานกงเย่ เขาต้องการเดินหนึ่งเดือน ต้องการที่จะยืดเวลาของจวินเจิ้งตง เพื่อจะโค่นล้มจิตวิญญาณทหารของเขา
ท่านแม่ทัพฉีเดินพร้อมกับกล่าวพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ความเก่งกาจของบุตรเขย พ่อเคารพนับถือ เขารู้ว่าขุนพลท่านแม่ทัพมีจิตใจที่อยากชนะ การเคลื่อนย้ายดำเนินการเร็วเกินไปจะทำให้ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มมากขึ้น กลับลากยืดออกไปทำให้มีประโยชน์ผลดี
ตอนที่พ่อไปเขาพูดกับพ่อว่า อย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะไปถึงชายแดน
พ่อเป็นกังวลมาก เช่นนั้นจะเสียเสบียงไปไม่น้อยเลย ช่วงที่ผ่านเหมันตฤดูทหารของพ่อจะลำบากอย่างมาก เขาบอกว่าอย่างมากการสู้รบนี้ก็สองเดือน ไม่จำเป็นต้องถึงเหตมันตฤดู
พ่อยังไม่เชื่อเลย ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นจริง!”
ได้ยินท่านแม่ทัพฉีชื่นชมหนานกงเย่ แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นดีใจ
แต่ท่านแม่ทัพพูดว่า สองเดือนก็จะสามารถสงบได้ ฉีเฟยอวิ๋นยังมีความแปลกใจ พอพูดอย่างนี้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นเขาได้มีการเตรียมการแล้วนะสิ ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่ เรื่องการสู้รบของฝั่งชายแดนล้วนจะจบลงโดยไม่ช้า
ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะมองหนานกงเย่ที่เดินอยู่ด้านหน้า เดิมพวกเขาต้องการขี่ม้าเข้าเมือง เช่นนั้นจะชัดเจนแจ่มแจ้งว่าพวกเขามีพลานุภาพ
แต่ด้วยสภาพร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นตอนนี้ ทำอย่างนั้นไม่สะดวก อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถกลับเรือน ต้องมุ่งตรงไปพบฝ่าบาทเลย โดยเฉพาะเธอ ออกจากเมืองหลวงโดยพลการเป็นความผิดใหญ่หลวง เข้ามาในพระราชวังยังต้องรับบทลงโทษอีก
หนานกงเย่เดินอยู่อีกด้าน เดินอยู่ด้านหน้าคือจวินเจิ้งตงกับท่านแม่ทัพฉี ฉีเฟยอวิ๋นอยู่อีกด้าน จวินเซียวเซียวไม่สามารถเปิดเผยหน้าได้ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าเมืองหลวงได้แอบส่งเข้าไปในวังแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งมาถึงด้านนอกพระราชวัง อวิ๋นหลัวฉวนกับท่านอ๋องตวนยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู พอเข้าพระราชวังอวิ๋นหลัวฉวนค่อนข้างกำเริบเสิบสาน นางถามฉีเฟยอวิ๋นเกี่ยวกับเรื่องที่ชายแดน ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีสิ่งใดจะพูด เลยนวดคลึงศีรษะแกล้งทำเป็นเหนื่อย พอหนานกงเย่เห็นฉีเฟยอวิ๋นถูกทำให้หงุดหงิดจนปวดศีรษะ เลยกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพี่รอง ท่านรีบดึงพระชายาตวนออกทีเถิด อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกไม่สบายแล้ว”
กล่าวจบหนานกงเย่เลยประคองฉีเฟยอวิ๋นเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ท่านอ๋องไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เขาสนใจเพียงอวิ๋นอวิ๋นผู้เดียว
ท่านอ๋องตวนเดินมาข้างกายของอวิ๋นหลัวฉวน แล้วจูงมือของนางไปอีกด้าน “ไปเถิด”
อวิ๋นหลัวฉวนยังมีความไม่พอใจเล็กน้อย แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อนางถูกควบคุมไว้ เลยจำใจต้องเดินตามไป
พอมาถึงท้องพระโรง ฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่นๆรอคอยเวลา ต่อมารายงานเป็นที่ทราบโดยทั่วกันแล้วถึงได้เข้าไป
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นฉีเฟยอวิ๋นเลยรีบรับสั่งให้นั่งทันที ฉีเฟยอวิ๋นแกล้งทำว่านั่งลำบาก องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เลยจำใจให้เธอยืนอยู่อย่างนั้น
“พระชายาเย่ เรื่องการสู้รบที่ฝั่งชายแดนครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสถามขึ้น
หนานกงเย่กราบทูลว่า “กราบทูลฝ่าบาท เรื่องราวเป็นเพราะจงชินยุยงขึ้น องค์รัชทายาทแห่งเมืองอู๋โยวก็ถูกหลอกลวงปิดบังความในนั้นด้วย พอรู้แล้วรู้สึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เลยส่งมอบภาพภูเขาแม่น้ำมาหนึ่งแผ่นกับเมืองของเราพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งภายในสามปียินยอมจะถวายเครื่องราชบรรณาการแก่เมืองเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ
นอกเหนือจากนี้ องค์รัชทายาทของเมืองอู๋โยวมีตราสารยอมจำนนกับฝ่าบาทด้วย และรับประกันว่าจะไม่ละเมิดต่อเมืองต้าเหลียงไปชั่วชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งมอบขึ้นมา”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เปิดอ่านตราสารยอมจำนน รู้สึกพึงพอใจอย่างเหลือล้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิด ฝ่าบาทได้โปรดลดโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”จวินเจิ้งตงคุกเข่าลงรับโทษ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองไป
เป็นเวลานานถึงได้กล่าวว่า “เรื่องของเจ้าข้าได้ยินมาบ้างแล้ว จวินอีเซี่ยวฟังคำกล่าวอ้างของคนชั่ว พอทำผิดพลาดร้ายแรงหรือเลวทรามมันจะกลับกลายเป็นความเสียใจชั่วชีวิต ข้าได้ยินมาว่าเจ้าตัดศีรษะสังหารด้วยตนเอง ท่านแม่ทัพจวินจัดการกับญาติพี่น้องที่กระทำผิดเพื่อปกป้องความยุติธรรม ข้าปลื้มอกปลื้มใจอย่างยิ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อดีและข้อเสียไม่สามารถหักล้างกันได้ ท่านแม่ทัพจวินมีความผิดทางวินัยการทหาร ปรับเงินเดือนของท่านแม่ทัพจวินเป็นเวลาสามปี ห้ามออกนอกเมืองหลวงสามปี”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวตรัสว่า “ราชสำนักของข้าถึงแม้จะมีหญิงร่วมออกศึกด้วย แต่เรื่องที่หญิงสาวมาเข้าเฝ้าที่ราชสำนักลดน้อยลงจะเป็นการดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพระชายาเย่อยู่ที่เรือนแล้วสงบครรภ์ดีๆเถิดนะ การตรวจตราคดีความภายในเรือนยกให้องค์หญิงใหญ่จัดการ รอไปจนถึงหลังจากที่พระชาเย่คลอดแล้ว ค่อยว่ากัน!
แยกย้ายออกไปกันได้แล้วล่ะ”