บทที่ 445 ไปเผยความน่าเอ็นดูในวัง
บทที่ 447 ถูกตบ
ฉีเฟยอวิ๋นมีเหตุผลเป็นของตัวเอง
“ท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้อาลัยอาวรณ์เลย การที่ได้รับใช้บ้านเมืองเป็นหน้าที่ที่พวกเขาเกิดมาแล้วต้องทำ
เกิดในพสุธานี้ เกิดในแว่นแคว้นนี้ก็ย่อมคุณสร้างคุณูปการให้แก่แคว้นนี้
บิดาและท่านตาของพวกเขาล้วนลำบากตรากตรำเพื่อบ้านเมือง แล้วพวกเขาจะมีเหตุผลอันใดต้องอยู่อย่างสุขสบายด้วยเล่า?
ตอนนี้อายุน้อยสามารถกินดีอยู่ดีในจวนเฉยๆได้ ทว่าเมื่อเติบใหญ่ หากไม่มีความสามารถ ยังคงนั่งกินนอนกินเหมือนเดิม เช่นนั้นคงไม่ดีแน่เจ้าค่ะ
ยามท่านพ่อแก่เถ้า คงไม่อยากได้ยินคนอื่นด่าทอพวกเขาว่าเป็นคนไม่เอาถ่านหรอกใช่ไหมเจ้าคะ?”
“พูดมั่วซั่ว หลานของพ่อจะเป็นคนไม่เอาถ่านได้เยี่ยงไร?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านพ่อ พวกเขาไม่ร่ำเรียนวิชาตอนเด็ก โตมาก็คือ คนไม่เอาถ่านแน่แท้”
“หลานพ่อไม่ใช่คนไม่เอาถ่าน พ่อจะมอบความสามารถให้พวกเขาเอง”
แม่ทัพฉีได้ยินว่าหลานเป็นคนไม่เอาถ่านก็อารมณ์เสียทันที
“ท่านพ่อ ข้าแค่สมมุติ ความหมายก็คือ หากตอนนี้ท่านไม่สอนวิชาที่ท่านสั่งสมมาทั้งชีวิตให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นคนไม่เอาถ่านในอนาคต”
แววตาฉีเฟยอวิ๋นตั้งมั่น เธอก็ไม่ได้ล้อเล่นเช่นกัน
แม่ทัพฉีคล้ายคิดอะไรได้ “รู้แล้ว ข้าจะคัดเลือกออกมา ถึงเวลานั้นใครกล้าด่าพวกเขาไม่เอาถ่าน พ่อก็จะให้พวกเขาไปลากตัวคนนั้นออกมากระเทือนให้สาแก่ใจ”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม “ถึงเวลานั้นท่านพ่อรอให้พวกเขากตัญญูต่อท่านพ่อได้เลยเจ้าค่ะ”
“แน่นอน” แม่ทัพฉีมองหลานๆอย่างชื่นมื่น เขายุ่งกับการดูแลหลานคนนี้ที เล่นแหย่กับคนนั้นที
ถึงแม้อายุของหลานทั้งห้าคนยังน้อย แต่เมื่อพูดถึงก็แปลกชอบกล แม่ทัพฉีหยอกล้อจนพวกเขาดีใจเมื่อไหร่ พวกเขามีอันต้องทั้งถีบทั้งเหยียบ สองมือดึงให้แม่ทัพฉีอุ้ม
ร้องเสียง อุแว้ อุแว้ ไม่หยุด
หากแม่ทัพฉีไม่อุ้ม ดวงตาโตก็จะหรี่ขึ้นและเริ่มแบะปากขึ้นมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
พออุ้มคนหนึ่งขึ้นมา คนที่เหลือก็จะส่งเสียงร้องอุแว้ อุแว้ ส่วนคนที่อยู่ในอ้อมกอดก็จะหัวเราะชอบใจ พวกเขาทำให้แม่ทัพฉีเบิกบานใจจนไม่รู้ว่าจะมีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
ทว่าไม่อุ้มคนที่เหลือก็ไม่ได้ จึงต้องวางคนในอ้อมแขนลง แล้วอุ้มอีกคนต่อ คนอื่นก็ร้องต่อ ทำวนเวียนอยู่เช่นนี้ แม่ทัพฉีเหนื่อยจนเหงื่อท่วมกาย
คนรอบข้างเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาเอาการ
มีเสียงกระซิบกระซาบด้านนอก “เจ้าว่าทำไมลูกของคุณหนูจึงฉลาดและเชื่อฟังเช่นนี้ เจ้าดูสิ ตัวแค่นี้เอง อายุสองเดือนยังลุกขึ้นไม่ได้เลย แต่ก็รู้จักทำให้แม่ทัพฉีร่าเริงแล้ว เหมือนคุณหนูตอนเด็กไม่ผิด”
“ใช่ คลอดครั้งเดียวมีถึงห้าคน คนอื่นมีแค่คนเดียวเอง”
“เสียดายมีแต่บุตรชาย หากมีบุตรสาวบ้างแม่ทัพฉีจะดีใจแค่ไหนกันนะ”
“เจ้าไม่รู้ซะแล้ว คุณหนูชอบเด็กผู้ชาย”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้ว ใครบอก
เธอก็ชอบลูกสาว ทว่าสถานที่นี้ ยุคสมัยนี้ สตรีคลอดออกมาก็มีแต่ต้องลำบาก ไม่สู้คลอดลูกชายเสียให้หมด
วันหน้าบุตรชายมีคนในใจก็สู่ขอเข้ามาทะนุถนอม ยังเป็นการสร้างความสุขให้แก่สตรีผู้หนึ่งอีกด้วย?
ดีกว่าคลอดบุตรสาวมากโข
หนานกงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก็อยากมีบุตรสาวเช่นกัน ทว่าเธอบอกว่าบุตรสาวนั้นลำบาก
เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็เห็นด้วย อาทิ มู่เหมียนที่ควรมีคู่ครองที่เหมาะสม จวินฉูฉู่ก็ควรมีชีวิตที่สงบสุข คงมีแต่เสด็จแม่ในวังทั้งนั้นแหละกระมังที่มีความสุขกับชีวิต?
ทว่า ก็ไม่แน่เสมอไป
สำหรับสตรีอย่างเสด็จแม่ที่ต้องปรนนิบัติสามีร่วมกับสตรีผู้อื่น มันเป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของพระองค์เลย ซึ่งไม่เพียงเท่านี้ พระองค์นอกจากปรนนิบัติสามีร่วมกับพระมเหสีหวาแล้ว ยังต้องปรนนิบัติร่วมกับสตรีอื่นในวังอีกด้วย
เสด็จพ่อมีพระธิดามากมาย เสด็จแม่ต้องเผชิญหน้ากับสตรีโฉมสะคราญนับไม่ถ้วนในวังหลัง
เขาเป็นท่านอ๋องแล้วอย่างไรเล่า ขณะเป็นจักรพรรดิยังไม่อาจกำหนดงานแต่งงานของพระธิดาตัวเองดั่งใจหมายเลย
ซ้ำร้าย หากบุตรสาวเหมือนเธอในอดีตที่บ้าผู้ชาย ทว่าเจอบุตรเขยที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมมอบใจให้เฉกเช่นเขาในอดีต แล้วผู้เป็นพ่ออย่างเขาต้องเป็นแม่ทัพฉีคนที่สองหรือเปล่า ถึงเวลานั้น……เขาควรทำเยี่ยงไรดี?
ไม่สู้มีแต่บุตรชายเสียให้หมด
เป็นเรื่องที่จนปัญญามา เธอคลอดบุตรหนึ่งครั้งสลบไปสองเดือน เขาไม่อาจทนมองเธอลำบากแบบนี้อีก
มีบุตรห้าคนก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องมีอีก
สั่งให้หมอโจวเตรียมน้ำแกงมาบำรุงเธอหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นทนดูไม่ได้ “พวกเจ้าเป็นเด็กดีหน่อย ท่านตาสู้รบในสงครามก็เหนื่อยพอแล้ว กลับถึงบ้านก็ต้องดูแลพวกเจ้าอีก พวกเจ้าทำให้ท่านตาดูแลจนเหนื่อยไม่มีแรง แล้วใครจะดูแลพวกเจ้าอีก?”
ลูกทั้งห้าคนที่กำลังส่งเสียงร้องอุแว้ อุแว้อยู่นั้นก็พากันเงียบในชั่วพริบตา ดวงตากลมโตคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่
แม่ทัพฉีรู้สึกแปลกใจ “พวกเจ้ากลัวเหรอ?”
“อุแว้……” มีคนเจ้ากล้าส่งเสียงร้อง แม่ทัพฉีก็รีบโค้งตัวลงไปอุ้มขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นส่งสายตาเย็นเยียบไปให้
สองแม่ลูกประสานตากันพอดี ฉีเฟยอวิ๋นทำตาขวางใส่บุตรของตน “ก้นเจ้าอยู่ไม่เป็นสุขใช่ไหม?”
ได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ลูกน้อยก็รีบเบือนหน้าหลบพลันจับแก้มแม่ทัพฉีอย่างสงบเสงี่ยม ไม่โวยวายอีก
แม่ทัพฉีวางหลานลง พบว่าไม่ส่งเสียงโวยวายกันทั้งห้าคนเลย ดวงตาสุกใสอันกลมโตจ้องมาที่เขา ทั้งยังส่งยิ้มให้เขาด้วย
ทีนี้ แม่ทัพฉีอุ้มคนไหน คนอื่นก็ไม่โวยวายอีก
ข้ารับใช้นอกประตูรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งยวด “บุตรของคุณหนูช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก”
“เด็กอัจฉริยะ” ชั่วพริบตาเดียวมีคนแสดงความคิดเห็นต่างๆนาๆ ทำให้หนานกงเย่อารมณ์ดีไม่น้อย มองไปฉีเฟยอวิ๋นไม่หยุด เขาก็แปลกใจว่าทำไมถึงฉลาดปานนี้
พอปัดกวาดเช็ดถูกเรือนเสร็จ พ่อบ้านก็เข้ามารายงาน “จัดที่อยู่ให้แม่นมเรียบร้อยแล้วครับ ส่วนคนอื่นให้พักที่เรือนตะวันตก ท่านแม่ทัพขอรับ ต้องเตรียมอาหารไหมขอรับ?”
“ไม่ต้องเตรียมแล้ว พวกเรากินแล้ว วันนี้จะพักที่นี่ พรุ่งนี้ต้องเข้าวังแต่เช้า”
“พรุ่งนี้พวกเราเข้าวัง ท่านพ่อต้องจัดแจงอยู่ในบ้านนะเจ้าค่ะ ที่ลานหลังจวนอ๋องเย่จะต่อเติมใหม่เจ้าค่ะ สวนดอกกล้วยไม้ไม่พอให้พวกเขาเล่น ข้าจะสร้างให้แล้วเสร็จก่อนเหมันตฤดู ระหว่างนี้พวกเราทั้งหมดเจ็ดคนก็ต้องอาศัยในจวนแม่ทัพก่อน รอให้สร้างเสร็จแล้วค่อยกลับไป ท่านพ่อต้องเตรียมตัวนะเจ้าค่ะ”
“หา?” แม่ทัพฉีทำหน้ามึนงง “จริงหรือ?”
ใบหน้าเล็กของฉีเฟยอวิ๋นยุ่งเหยิงเล็กน้อย “ท่านพ่อ หรือว่าพวกเรามีกันเยอะ ท่านกลัวอาหารไม่พอหรือ?”
“พูดเหลวไหล ถึงไม่มีจริงๆพ่อก็ต้องไปยืมมา ราชครูจวิน เสนาบดีเฉิน จวนอวิ๋นกั๋วกง ไม่ใช่มีเงินทองมากมายหรอกเหรอ พ่อต้องไปยืมแน่”
“เช่นนี้ก็ดี ท่านพ่อ ท่านต้องเตรียมการรักษาความปลอดภัยให้ดีๆนะ ตอนนี้ลูกๆเป็นถึงองค์ชายเชียวนะ สะเพร่าไม่ได้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยแต่ก็ต้องเตรียมไว้เสียบ้างนะ”
“ก็ใช่อยู่ แต่ใครจะริอ่านมาจวนแม่ทัพกัน?” แม่ทัพฉีทำหน้าเยือกเย็น ใครมาล้วนต้องโดนสับละเอียดแน่
มีหลานแล้ว แม่ทัพฉีก็ไม่ยำเกรงผู้ใดทั้งนั้น กระทั่งมหาราชาก็ไม่ได้ยกเว้น
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว “ไม่แน่เจ้าค่ะ ยิ่งสงบสุข คนพวกนั้นก็ยิ่งอยู่นิ่งไม่เป็น หากไม่ก่อการร้ายหน่อย คงเสียดายความสามารถแย่”
“อันนี้ก็ถูก” แม่ทัพฉีหัวเราะ “พวกเขามาก็ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อก่อน”
แม่ทัพฉีกล่าวจบก็มองไปยังเด็กๆทั้งหลาย “พวกเจ้าวางใจเถอะ หากพวกมันมา ท่านตาจะสับพวกมันทิ้ง”
“อาๆๆๆๆๆ”
เด็กๆร่าเริงกันยกใหญ่ เสมือนเห็นด้วยกับความองอาจห้าวหาญและความฉลาดของท่านตา
แม่ทัพฉียิ้มจนตาจะปิดกันแล้ว “ไปกันเถอะ ท่านตาอุ้มพวกเจ้าไปเล่นที่ห้องฝึกวรยุทธ์นะ”
กล่าวจบ แม่ทัพฉีอุ้มขึ้นมาหนึ่งคนแล้วเดินไป พ่อบ้านจวนอ๋องเย่เห็นเข้าก็รีบขัดขวาง “ท่านแม่ทัพขอรับ ไม่ได้นะขอรับ ที่นั่นมีกลิ่นอายพิฆาตรุนแรงมากนะขอรับ”
หนานกงเย่วางถ้วยน้ำชาในมือ ยกคิ้วขึ้นอย่างไม่หนักและไม่เบา “พ่อบ้านถอยไปก่อน”
พ่อบ้านอึ้ง จานก็ถอยไปอีกทาง
“อาอวี่ พ่อบ้านอัน หงเถา ลี่ว์หลิ๋ว พวกเจ้าอุ้มบุตรข้าคนละหนึ่งคน แล้วตามท่านพ่อตาไปที่ห้องฝึกวรยุทธ์ ระวังหน่อยนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสี่คนขานรับ แม่ทัพฉีมองพ่อบ้านจวนอ๋องเย่ปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เขาอุ้มไปหนึ่งคน แล้วไปที่ห้องฝีกวรยุทธ์โดยตรง