องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 487 วิธีการรวบรวมเงินของจักรพรรดิอวี้ตี้
เฉินอวิ๋นชูตกตะลึง จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและตกอยู่ในห้วงความคิด
“พระชายาเย่ ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?” เฉินอวิ๋นชูรู้สึกตัวกลับมาและรีบถามในทันที
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงคิดเห็นอย่างไรเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่จักรพรรดิอวี้ตี้
“ข้าก็อยากฟังเช่นกัน เจ้าอยู่ต่อเถอะ” จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปรอบ ๆ เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นต้องการให้จักรพรรดิอวี้ตี้ออกไป แต่ในเมื่อเขาไม่ไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงต้องจำใจพูดคุยกับเฉินอวิ๋นชู
เฉินอวิ๋นชูมีปัญหามากมาย ฉีเฟยอวิ๋นดูไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม
ฉีเฟยอวิ๋นคุยเป็นเพื่อนเฉินอวิ๋นชูเกือบทั้งคืน และง่วงจนฟุบหลับไปบนโต๊ะ
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่เฉินอวิ๋นชู:“ข้ารู้ว่ามันทำร้ายจิตใจของฮองเฮา แต่ข้าหวังว่าฮองเฮาจะกลับมามีความสุขในเร็ววัน”
เฉินอวิ๋นชูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง:“ฝ่าบาทควรพักผ่อนได้แล้วเพคะ ดึกมากแล้ว หม่อมฉันจะปรนนิบัติฝ่าบาทให้พักผ่อนเอง”
ทันใดนั้นจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ยิ้มและลุกขึ้นยืน เขากางแขนออก และรอให้เฉินอวิ๋นชูเดินเข้ามา
เฉินอวิ๋นชูเดินไปข้างหน้าจักรพรรดิอวี้ตี้ และเริ่มถอดเสื้อผ้าให้เขา
จักรพรรดิอวี้ตี้จับมือของเฉินอวิ๋นชู:“ข้ารู้สึกละอายใจต่อฮองเฮา และยินดีที่จะปรับปรุง!”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันก็ผิดเพคะ และหม่อมฉันจะปรับปรุง!”
จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้าและปล่อยมือของเฉินอวิ๋นชู จากนั้นเฉินอวิ๋นชูก็ถอดเสื้อคลุมให้เขา
จักรพรรดิอวี้ตี้นอนลง และเฉินอวิ๋นชูก็หยิบชุดของนางไปห่มให้ฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็กลับมานอนบนลงเตียง
จักรพรรดิอวี้ตี้พูดถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองได้พบกันครั้งแรก เฉินอวิ๋นชูฟังเขาพูดอยู่ตลอด นและเมื่อฟ้าใกล้สว่างแล้ว เฉินอวิ๋นชูก็ล่าวว่า:“ฝ่าบาท เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะเพคะ หม่อมฉัน……จะปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทเป็นอย่างดี!”
ร่างกายของจักรพรรดิอวี้ตี้ชะงักเล็กน้อย เดิมทีเขาเตรียมที่จะเข้านอนแล้ว แต่ก็ลืมตาขึ้นมามองเฉินอวิ๋นชู:“เช่นนั้นก็ให้กำเนิดลูกแก่ข้าด้วยเถิด?”
“……” เฉินอวิ๋นชูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง:“ฝ่าบาททรงมีพระสนมเอกเซียวอยู่แล้วมิใช่หรือเพคะ……”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร?หรือว่าข้าไม่พูดเจ้าก็ไม่เข้าใจ?ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฮองเฮาไม่ได้รักข้า……” จักรพรรดิอวี้ตี้ยังพูดไม่ทันจบ เฉินอวิ๋นชูหน้าแดงและจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
จากนั้นก็ดึงคนเข้ามากอดไว้:“อันที่จริงข้ารู้สึกเสียใจที่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ท้ายที่สุดนางก็แค่ต้องการจะบรรเทาความเหนื่อยล้าของข้า จะเปรียบเทียบกับเจ้าได้อย่างไร?”
“ฝ่าบาทควรจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันนะเพคะ หม่อมฉันคิดว่าแม้แต่มู่เหมียนก็ต้องจัดการให้ดี หม่อมฉันเพิกเฉยต่อวังหลังที่ว่างเปล่าของฝ่าบาทมาตลอดหลายปี เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง
วังหลังยังไม่มีผู้สืบสกุล ทั้งหมดเป็นเพราะหม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึกเสียใจที่ทำเรื่องที่ผิดต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทเสียเวลาเพราะหม่อมฉันมาหลายปีแล้ว หม่อมฉัน……”
เฉินอวิ๋นชูร้องไห้ จักรพรรดิอวี้ตี้จึงลุกขึ้นจากเตียงในทันที
“ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเองที่ไม่ดีเอง อย่าร้องไห้เลย เวลาที่เจ้าร้องไห้ ข้ารู้สึกกระวนกระวายใจ เป็นข้าที่ทำผิดต่อเจ้า……” จักรพรรดิอวี้ตี้โน้มตัวเข้าไปจูบฮองเฮา และฮองเฮาก็รีบหลบเลี่ยง
“ทรงอย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ พระชายาเย่……”
จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นและลงจากเตียง ใบหน้าของเฉินอวิ๋นชูดูงุนงง จักรพรรดิอวี้ตี้โน้มตัวลงไปอุ้มเฉินอวิ๋นชูแล้วออกไปข้างนอก
เวลารุ่งสาง ในตำหนักเฟิ่งอี๋มีขันทีน้อยและนางกำนัลที่คอยรับใช้เฉินอวิ๋นชูอยู่ตลอดทั้งคืน และพวกเขาก็เห็นว่าฮองเฮาถูกจักรพรรดิอวี้ตี้อุ้มออกมา จึงพากันคุกเข่า
จักรพรรดิอวี้ตี้เดินเข้าไปในห้องรับรองด้านข้าง หลังจากที่เข้าไปแล้วก็ไปที่เตียง
เฉินอวิ๋นชูรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลงและเชยคางของเฉินอวิ๋นชูขึ้น:“ข้าไม่ได้รู้สึกต้องการฮองเฮาอย่างร้อนรนเช่นนี้มานานแล้ว ฮองเฮาจะเต็มใจหรือไม่?”
เฉินอวิ๋นชูไม่ตอบ จักรพรรดิอวี้ตี้จึงกล่าวว่า:“เช่นนั้นจะถือว่าฮองเฮารับปากเรื่องที่จะให้กำเนิดบุตรแก่ข้าแล้วนะ หรือว่าหลอกลวงข้า?”
“ไม่ใช่นะเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่……”
จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่รอให้เฉินอวิ๋นชูพูดจบ เขาก็เปลื้องเสื้อผ้าออก เฉินอวิ๋นชูหันหน้าหนีและตัวแดงไปทั้งตัว
จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง และมองดูแสงจันทร์อย่างพินิจพิจารณา:“ข้ารู้ว่าเวลาที่ฮองเฮาเกิดอารมณ์จะตัวแดง……”
เฉินอวิ๋นชูกอดตัวเองไว้:“หม่อมฉัน……”
“ไม่ต้องพูด ข้ารู้ทุกอย่างแล้ว”
……
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เห็นใครในตำหนัก และควรจะต้องไปในเวลานี้ ฉีเฟยอวิ๋นสั่งว่า:“กราบทูลฝ่าบาทว่าข้าไปทำงานแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นสั่งขันทีน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ให้กราบทูลฝ่าบาท และถือโอกาสถามขันทีน้อยว่าชื่ออะไร
“บ่าวเสี่ยวสวีจื่อ เป็นบุตรบุญธรรมของสวีกงกงพ่ะย่ะค่ะ”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เสี่ยวสวีจื่อ:“ก็ดี เจ้าทำหน้าที่ให้ดีเถอะ ข้าไปแล้ว”
หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบก็เดินออกไป ใครจะรู้ว่าจักรพรรดิอวี้ตี้จะปรากฏตัวที่หน้าประตูวัง สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูเป็นกังวล
จักรพรรดิอวี้ตี้สวมเสื้อคลุมลายมังกร และเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูวังก็หันไปมองฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรีบก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าคำนับ:“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ดูสบายอกสบายใจมาก
จักรพรรดิวี้ตี้เดินไปหาฉีเฟยอวิ๋น:“ลุกขึ้นเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นขอบพระทัยและลุกขึ้น จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวว่า:“เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย เจ้าจะออกจากวังแต่เช้าเลยหรือ?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันจะรีบไปทำงานให้ฝ่าบาทเพคะ”
“ไม่ต้องรีบ” จักรพรรดิอวี้ตี้เดินนำไปก่อน ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินตามไป
ไม่ได้ไปที่ไหน เพียงแค่เดินไปเดินมา และฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกส่งไปที่หน้าประตูวังอีกครั้ง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในเวลานี้ประตูวังเปิดออก และฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นรถม้าของนางรออยู่นอกวังแล้ว
“ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลาเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าจักรพรรดิอวี้ตี้ไม่พูด จึงเดินออกไป
หลังจากที่ออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าและรู้สึกโล่งใจ
จักรพรรดิอวี้ตี้เฝ้ามองรถม้าจากไป และหันหลังกลับไป
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกลับมาถึงจวนแม่ทัพ นางก็ถามพ่อบ้านอัน และพ่อบ้านอันก็รีบตอบว่า:“ยังพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเงินรางวัลที่ได้มาจากในวังออกมาจากรถม้า และตามอาอวี่กลับไปหาลูก ๆ เมื่อไปถึงนางก็กอดและหอมทีละคน จากนั้นก็บอกแม่ทัพฉีเรื่องที่ต้ากั๋วจิ้วยักยอกเงินบรรเทาภัยพิบัติ
แม่ทัพฉีนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความประหลาดใจ:“พ่อไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน พ่อจะลองไปถามเรื่องนี้ดู”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องถามหรอกเจ้าค่ะ ท่านอยู่ที่จวนคอยดูแลพวกเขา ลูกจะไปเอง และจะถือโอกาสพูดคุยกับอวิ๋นจิ่นด้วย อวิ๋นจิ่น……ไปเชิญคุณชายทังมา แล้วเตรียมอาหารด้วย อาหารในวังไม่อร่อยเลย ข้ารู้สึกไม่ชิน”
อวิ๋นจิ่นรีบไปจัดการ ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้คนเตรียมการอาบน้ำ นางมักจะรู้สึกว่าในวังนั้นมีไอของความเคราะห์ร้าย ดังนั้นนางจึงอยากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
หลังจากทานอาหารเสร็จ ทังเหอก็มา ฉีเฟยอวิ๋นจึงหารือเรื่องการระดมเงินกับทังเหอ
หลังจากที่ได้ฟังทังเหอก็ตกตะลึง:“สิบล้านตำลึง?”
“สิบล้านตำลึงเป็นเพียงแค่การประมาณคร่าว ๆ เท่านั้น”
“การประมาณคร่าว ๆ ?” ทังเหอและคนอื่น ๆ ตกตะลึง พวกเขามองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างอ้าปากค้าง
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า:“ฝ่าบาททรงตรัสว่าเดิมทีถูกยักยอกไปแปดล้านตำลึง แต่ในตอนนี้ขัดสนเงิน เกรงว่าสิบล้านตำลึงก็คงไม่เพียงพอ ดังนั้นจะต้องมากกว่านี้”
“พระชายา นี่มันไม่ถูกต้องนะพ่ะย่ะค่ะ หากถูกยักยอกไปแปดล้านตำลึง เช่นนั้นก็ระดมเงินแปดล้านตำลึงให้พวกเขาก็น่าจะพอแล้ว” ทังเหอไม่เข้าใจ
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เขา:“คุณชายทัง ฝ่าบาททรงต้องการให้ระดมเงินเพิ่มก่อน ประการแรกคือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เร่งด่วน และประการที่สองคือเงินในท้องพระคลังว่างเปล่ามานานมากแล้ว และท่านอ๋องก็ไม่ได้รับเบี้ยหวัดมาหลายเดือนแล้ว คุณชายทังได้รับหรือไม่?”
ทังเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง:“ผู้น้อยก็ไม่ได้รับเบี้ยหวัดมาหลายเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”