หวังฮวายอันมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและเขียนชื่อเรียกของเจ้าห้า:จื่อฮวน
ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างพอใจ หลังจากที่ลุกขึ้นนางก็เดินไปข้างหน้าหนานกงเย่ ทุกคนพาเด็ก ๆ กลับไปและเลี้ยงฉลอง หลังจากทานอาหารแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ส่งทุกคนกลับไป
อวิ๋นหลัวฉวนอดที่จะอิจฉาไม่ได้และปฏิเสธที่จะจากไป นางรอจนกระทั่งมืดแล้วจึงกลับไป เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนจากไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปที่เด็ก ๆ ด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก หนานกงเย่อุ้มบุตรชายคนสุดท้องขึ้นมา:“น่าแปลก ยังเด็กมากขนาดนี้ ทำไมเขาถึงรู้จักเลือกชื่อแล้ว?”
ฉีเฟยอวิ๋นอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาเปลี่ยนชุดคลุมยาว โดยมีอวิ๋นจิ่นคอยปรนนิบัติรับใช้นาง
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในห้อง พื้นดินร้อน ดังนั้นในห้องจึงไม่เย็น และไม่ต้องกังวลว่าเด็ก ๆ จะตกจากเตียง เพราะทุกอย่างวางอยู่บนพื้น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:อันที่จริงท่านอ๋องไม่ควรถามเช่นนั้นนะเพคะ แม้ว่าเด็กคนนี้จะฉลาด แต่ก็มิอาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่เด็กคนนี้เติบโตขึ้น เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เขาอารมณ์ไม่ดีมากที่สุด เรื่องอะไรที่ไม่เต็มใจหรือไม่พอใจ เขาก็จะร้องไห้
ท่านอ๋องทรงดูไม่ออกว่าชื่อจื่อฮวนมีความไม่เคร่งครัด เขาจึงชอบ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก?”
เจ้าห้าหันไปมองทางฉีเฟยอวิ๋น เด็กน้อยในวัยเพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่แม่ของเขาพูด และไม่กล้าที่จะมองตาของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นเขาก็หันไปมองหนานกงเย่แล้วหลับตาลง ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาหล่อมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้หนานกงเย่ก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น โดยไม่สนใจว่าฉีเฟยอวิ๋นพูดถูกหรือผิดและถามว่า:“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าคิดว่าลูก ๆ ดูแตกต่างกันออกไปหรือไม่”
“ท่านอ๋องเพิ่งจะรู้หรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเอาเจ้าห้าไปอุ้มและตบเบา ๆ แม้ว่าจะปากร้าย แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังเข้าข้างเจ้าห้า
และรู้สึกว่าเด็กคนนี้สุขภาพไม่ดี
หนานกงเย่หันไปลูกคนอื่น ๆ และพบว่าลูก ๆ ของเขาเปลี่ยนไป แม้ว่าหน้าตาของพวกเขาจะดูหล่อเหลามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หน้าตาก็เริ่มเปลี่ยนไป และมีความคล้ายคลึงกัน แต่ไม่เหมือนกันกับฝาแฝดคนอื่น ๆ พวกเขาหน้าตาเหมือนเดิมทุกประการ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่แปลกใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของนางมีความผันผวนมาก และไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล
“นายท่าน คืนนี้ท่านแม่ทัพฉีจะกลับไปที่จวนแม่ทัพแล้วเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่ามีคนก่อเรื่องวุ่นวายในจวน สาวใช้ในสวนหลังจวนต้องการจะไถ่ตัว ท่านแม่ทัพฉีกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อย อวิ๋นจิ่นไม่มีธุระพอดี จึงจะอยู่ต่อเจ้าค่ะ อวิ๋นจิ่นอยากจะไปส่งท่านแม่ทัพฉีกลับไป และถือโอกาสไปดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่” อวิ๋นจิ่นถาม ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า จากนั้นอวิ๋นจิ่นก็ถอยออกไป
หลังจากที่อวิ๋นจิ่นจากไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงไปถามหนานกงเย่เกี่ยวกับเรื่องชื่อของลูก ๆ
“จื่ออี้อยู่บนฟ้า จื่อเซิ่งอยู่บนดิน จื่อยวนอยู่ในน้ำ และจื่อเหรินอยู่กับราษฎร เช่นเดียวกับมนุษย์ ฟ้าดินมนุษย์เป็นเอกภาพ และความหมายของน้ำคือความมั่งคั่ง แต่ความหมายของกั๋วจิ้วก็คงจะหมายถึงคุณธรรมและความอ่อนโยนด้วย ส่วนคำว่ามั่ว แน่นอนว่าเป็นความสามารถด้านวรรณกรรม เรียกได้ว่ามีเจตนาดีเลยทีเดียว
แต่เด็กคนนี้ไม่มีความทะเยอทะยาน แต่หาชื่อให้ตัวเองเป็นความอิสระและมีความสุข”
สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูประหลาดใจ:“ดูไม่ออกเลยว่ากั๋วจิ้วมีความสามารถด้านวรรณกรรม เขาเพียงแค่กลับไปครู่หนึ่งก็สามารถคิดชื่อที่ดีเช่นนี้ออกมาได้”
“แน่นอน กั๋วจิ้วอ่อนแอและหลายโรคมาตั้งแต่เด็ก หากไม่ใช่เพราะเป็นเช่นนี้ ในราชสำนักก็คงจะไม่มีใครอีกแล้ว แต่จนปัญญา เสด็จแม่จึงให้เขามาเป็นสายลับ”
“ท่านอ๋องพักผ่อนเถอะเพคะ พรุ่งนี้พระองค์ต้องไปจัดการเรื่องของต้ากั๋วกงไม่ใช่หรือ?”
เมื่อพูดถึงต้ากั๋วกง กลับมาได้เดือนกว่าแล้ว และฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินหนานกงเย่บอกว่าจะไปจัดการเรื่องของต้ากั๋วกง
“เรื่องของต้ากั๋วกงไม่รีบร้อน ในช่วงสองสามวันนี้ ต้ากั๋วจิ้วมักจะเข้าไปในวัง คงจะวิตกกังวล อีกเพียงแค่สองเดือนพระสนมเอกเซียวก็จะให้กำเนิดผู้สืบสกุลของฝ่าบาท มู่เหมียนไม่ยอมพบเขา และไม่ยอมที่จะมีความสัมพันธ์ฝ่าบาท นางปิดประตูแลัไม่ออกไปไหนทั้งวัน
เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้ยินมาว่าฮองเฮาก็ทรงตั้งครรภ์ด้วย และคงจะรีบร้อนเป็นอย่างมาก!”
ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าอยู่ นางก็นั่งลงและตบเบา ๆ แต่นางไม่ค่อยเข้าใจ:“ต้ากั๋วจิ้วอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากแล้ว สถานะในตอนนี้ของเขา ไม่มีใครในราชสำนักกล้าแตะต้อง แล้วเหตุใดยังต้องส่งมู่เหมียนเข้าไปในวังอีก หรือเขาไม่รู้ว่าในวังเป็นกรงขังขนาดใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงมู่เหมียนเลย แม้แต่เสด็จแม่ก็ไม่สามารถออกจากวังไปได้ตามพระทัย?
ดีที่ทรงเป็นท่านอ๋อง เสด็จแม่เคยออกมาหรือไม่?
แม้ว่าในวังจะรุ่งโรจน์และมั่งคั่ง แต่คนในวังก็ไม่เคยได้ออกมาเลย อยู่แต่ในนั้นไม่อึดอัดใจบ้างหรือ?”
หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และนั่งลงเพื่อหยอกล้อบุตรชายที่กำลังหลับอยู่ ทั้งสองสามีภรรยาไม่รู้ว่าบุตรชายสี่อีกสี่คนที่อยู่ข้างหลัง จ้องมาที่พวกเขาด้วยความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง พวกเขามีบุตรชายห้าคน ไม่ใช่มีแค่น้องห้าคนเดียว
หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น:“ข้าก็เคยคิดว่าหากฝ่บาททรงมอบบัลลังก์ให้ข้าจริง ๆ ข้าจะต้องการหรือไม่
อวิ๋นอวิ๋นรู้ว่าคิดอย่างไรหรือไม่?”
“ท่านอ๋องทรงคิดอย่างไร หม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไรเพคะ?” แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้
หนานกงเย่รู้สึกขบขัน:“ข้านึกถึงท่าทีของอวิ๋นอวิ๋นที่มีต่อบัลลังก์นั้น และคิดว่าอวิ๋นอวิ๋นจะต้องพูดว่านั่นเป็นกรงขนาดใหญ่ อวิ๋นอวิ๋นอยู่ในนั้นก็คงจะอึดอัดใจ”
ฉีเฟยอวิ๋นตบบุตรชายเบา ๆ:“ท่านอ๋องทรงเข้าใจหม่อมฉันจริง ๆ”
“อืม ข้าเข้าใจอวิ๋นอวิ๋นเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์ ข้าก็ไม่ต้องการมันอย่างแน่นอน และจะไม่ยอมให้พวกเขาต้องการมันด้วย
เป็นซื่อจื่อก็ดีมากแล้ว และในวังก็ไม่มีความหมายใด ๆ”
ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่สักพัก ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ:“หากไม่สนพระทัยเรื่องต้ากั๋วจิ้ว แล้วท่านอ๋องจะสนพระทัยเรื่องของใครเพคะ?”
“เสี่ยวกั๋วจิ้ว หลี่ฮ่วนจงมาที่นี่หลายครั้งติดต่อกัน แต่เขาไม่พบเสี่ยวกั๋วจิ้ว ดังนั้นเขาจึงร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา ตามที่อวิ๋นอวิ๋นกล่าว อีกเพียงไม่กี่วีนเสี่ยวกั๋วจิ้วก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เกรงว่าหลี่ฮ่วนจงจะวิตกกังวล
ข้าจึงให้คนตามเขาไป แต่เขาสงบนิ่งมาก แต่ยิ่งเขาทำเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งสงสัยว่าเขาเกี่ยวข้องอย่างไรกับจงชิน”
“ท่านอ๋อง ยังหาหนานกงเซวียนเหอไม่พบหรือเพคะ?”
“ยังหาไม่พบ แต่หากหลี่ฮ่วนจงเป็นคนของจงชิน เขาจะต้องมีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ลึกลับเช่นนี้ ตอนที่หนานกงเซวียนเหอหายไป เขาก็ยังอยู่ที่นั่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่กังวลว่าหนานกงเซวียนเหอจะเป็นอะไรไป เขาสามารถเฝ้ามองผู้คนในจวนอ๋องห้าได้อย่างไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นหนึ่งในจงชิน และเป็นคนที่อยู่ข้างกายหนานกงเซวียนเหอ เป็นไปได้มากว่าเขาจะเป็นที่ปรึกษา”
“ดูเหมือนว่าท่านอ๋องได้วางแผนไว้แล้ว”
“พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะออกไปข้างนอก”
วันรุ่งขึ้น
หนานกงเย่ออกไปแต่เช้า หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นตื่นแล้ว นางก็ไปดูแลลูก ๆ
เมื่อคืนอวิ๋นจิ่นกลับไปที่จวนแม่ทัพและยังไม่กลับมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงต้องดูแลลูก ๆ อันเป็นที่รักด้วยตนเอง เด็ก ๆ ร่าเริงและมีความสุขที่ตื่นขึ้นมาก็เห็นแม่ของพวกเขา
ก่อนหน้านี้จะต้องรอจนถึงเวลาอาหารเช้าถึงจะได้เห็นแม่
หวังฮวายอันยังฉีดยาไม่ครบ และต้องการกินยาอย่างต่อเนื่อง ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีเวลา จึงให้อาอวี่ไปเชิญหวังฮวายอันมา
หลังจากที่หวังฮวายอันเข้ามาในห้องของเด็ก ๆ แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ฉีดยาให้เขา
สวีกงกงหายจากอาการป่วยแล้ว วันนี้จึงมาเยี่ยมฉีเฟยอวิ๋น
“พระชายา สวีกงกงมาขอเข้าเฝ้าอยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่รายงานอยู่ที่หน้าประตู
“เชิญกงกงเข้ามา”
“สวีกงกงบอกว่าเขาไม่สะดวกที่จะเข้ามา เขาเป็นขันที ไม่เหมาะที่จะเข้ามาซื่อจื่อน้อย จึงรอข้างนอก เขาต้องการพูดบางอย่างแล้วจะกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่พูดอยู่ด้านนอกประตู ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นไปสวมเสื้อคลุม และออกจากห้องไปที่หน้าเรือนจวินจื่อ
เมื่อสวีกงกงเห็นฉีเฟยอวิ๋น เขาก็กำลังจะคุกเข่าลง ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบประคองเขาขึ้นมา