ฉีเฟยอวิ๋นกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ด้วยความเหนื่อยล้า หนานกงเย่รีบอุ้มนางไปแช่ในสระกำมะถันอย่างรวดเร็ว ถือโอกาสปล่อยร่างกายให้ได้พักผ่อนไปด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาและเข้านอนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หลับไปในที่สุด
หนานกงเย่หันไปดูเด็ก ๆ เขาไม่ได้กลับจวนหนึ่งคืนเต็ม ยังคิดอยู่เลยว่าพวกเด็ก ๆ อาจจะคิดถึงเขามากเป็นแน่ แต่ผลลัพธ์คือทุกคนนอนหลับอย่างสงบ
ความผิดหวังถาโถมเข้ามา จากนั้นหนานกงเย่ก็แทรกตัวเข้าไปในใต้ผ้าห่มและโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ พลางกล่าวพึมพำว่า : “คนหนึ่งไม่สู้อีกคนหนึ่ง ไม่สำนึกเอาเสียเลย เหมือนกับแม่ของพวกเขาไม่มีผิด”
ฉีเฟยอวิ๋นขยับตัวเล็กน้อย หลับเหมือนคนหมดสติอย่างไรอย่างนั้น
หนานกงเย่เองก็จนปัญญา ทำได้เพียงแค่นอน
ยามราตรีที่เงียบสงัดกลับมีเสียงคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว หนานกงเย่รีบลืมตาขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันไปมองทางประตู ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางประตูและกล่าวถามว่า : “ผู้ใด?”
“ราชครูมาพ่ะย่ะค่ะ พาฮูหยินรองมาด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมจากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง หนานกงเย่รีบตามออกไปเช่นกัน
“เชิญราชครูและฮูหยินรองไปยังเรือนจวินจื่อเถอะ ไปในห้องที่ฮูหยินรองพักอยู่” ฉีเฟยอวิ๋นรีบหยิบกล่องยาและตามออกไป ตรงไปยังเรือนจวินจื่นอย่างรีบร้อน
จวนอ๋องเย่พากันแตกตื่น เรือนจวินจื่อฝั่งนั้นก็มีคนเดินออกมาดูสถานการณ์ไม่น้อย
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปแล้วก็รีบเตรียมตัวทันที ราชครูจวินพากลุ่มคนสองสามคนมาด้วย ครานี้ค่อนข้างเชื่อฟังอย่างมาก ร่างของฮูหยินรองถูกยกขึ้นมา
ฮูหยินรองนอนลงบนเตียงไม้ตัวหนึ่ง
ทันทีที่ฮูหยินรองเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นก็เรียกบ่าวรับใช้มาช่วยประคองฮูหยินรองนอนลง จากนั้นก็รีบเข้าไปตรวจดูอาการให้แก่ฮูหยินรองทันที นางตรวจร่างกายโดยรวมเล็กน้อย ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉีเฟยอวิ๋นคาดเดาไว้แล้วจริง ๆ โรคเกาต์ของฮูหยินรองกำเริบอีกแล้ว
ราชครูจวินยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็ซักถามฉีเฟยอวิ๋นว่า : “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ราชครูพักก่อนเถอะเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มฉีดยาให้แก่ฮูหยินรอง หลังจากที่ฉีดยาให้ฮูหยินรองเรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เรียกบ่าวรับใช้ไปก่อไฟเตาอั้งโล่สักสองสามเตา
“ใต้ห้องแห่งนี้มีเครื่องทำความร้อน ยังต้องใช้เตาอีกอย่างนั้นหรือ?” มามาไม่เข้าใจจึงกล่าวถามเป็นธรรมดา
ฉีเฟยอวิ๋นอธิบาย : “โรคเกาต์นี้ ความน่ากลัวของมันคืออากาศหนาว วันนี้ฮูหยินรองตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง อาการเกาต์จึงได้กำเริบ จะต้องอบร่างกายด้วยความร้อนถึงจะช่วยบรรเทาลงได้”
มามารีบวิ่งออกไปทันที ไปหาเตาอั้งโล่ในลานกว้าง
ไม่นานภายในห้องก็เต็มไปด้วยเตาอั้งโล่มากกว่าสิบเตา ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็เรียกบ่าวรับใช้มาก่อไฟเพิ่มความอุ่นในเตา
ราชครูจวินเห็นสีหน้าของฮูหยินรองไม่สู้ดีนัก จึงเอ่ยถามขึ้น : “นางเป็นโรคเกาต์หรือ?”
เหตุใดเขาถึงไม่รู้มาก่อน?
ฉีเฟยอวิ๋นมองเห็นถึงความคิดของราชครูจวิน จึงได้กล่าวขึ้นว่า : “ฮูหยินรองเป็นโรคเกาต์มานานแล้ว แต่อาจจะไม่เคยบอกราชครู หม่อมฉันเองก็เพิ่งตรวจเจอโรคนี้ในตอนที่นางมายังจวนอ๋องเย่ในครานี้ หม่อมฉันกำลังรักษาให้กับฮูหยินรอง หวังให้นางอยู่รักษาตัวในจวนอ๋องเย่เป็นเวลาสามเดือน
คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้เสียก่อน”
ใบหน้าที่ดูมีอายุของราชครูจวินซีดเผือดลง จากนั้นก็เอ่ยถามฉีเฟยอวิ๋นว่า : “ถึงแก่ชีวิตหรือไม่?”
“อาจจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่เวลาปวดขึ้นมากลับทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย คนทั่วไปมักทนไม่ไหว” ฉีเฟยอวิ๋นตอบกลับไปตามความจริง
ราชครูจวินกล่าวถามว่า : “แล้วจะรักษาหายหรือไม่?”
“รักษาไม่หายเจ้าค่ะ ทำได้เพียงแค่บรรเทาอาการ แต่ต้องดูแลบำรุงตนเองอย่างดี ถึงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
โรคเกาต์ชนิดนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยจะต้องดูแลรักษาตนอย่างดี
ราชครูจวินรับไม่ได้ มันกะทันหันเกินไป
ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวขึ้นว่า : “นางน่าจะเป็นโรคนี้มาห้าสิบกว่าปีแล้ว นานถึงเพียงนี้ แสดงว่าจะต้องเป็นมาตั้งแต่วัยเยาว์อย่างแน่นอน ตอนที่เป็นโรคเกาต์นี้ นางน่าจะประสบกับความเหน็บหนาวอย่างรุนแรงมาก่อนเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเป็นได้”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ราชครูจวินจึงได้นึกย้อนกลับไปในช่วงที่เขาและฮูหยินรองได้อยู่ด้วยกัน เพราะเรื่องนี้เป็นความคิดริเริ่มของเขาเอง โดยไม่ได้ปรึกษามารดาของเขา ตอนนั้นเขาอยากสู่ขอฮูหยินรองผู้นี้มาเป็นคู่ชีวิต ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ
เพียงแต่หลังจากที่เขาวางแผนอย่างดีแล้ว ต่อมาก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น แม่ของเขาโกรธมาก คิดว่าฮูหยินรองหวังจับเขา และยังไม่เข้าใจกฎระเบียบอีกด้วย ดังนั้นจึงให้ฮูหยินรองไปคุกเข่าอยู่บนน้ำแข็งที่เยือกเย็นจับใจ เป็นเวลาสามวันสามคืน
ตอนนั้นเขาไม่สามารถขัดขวางแม่ของตนเองได้ ทำได้แค่ยืนมอง ฮูหยินรองกลับยังคงปิดปากเงียบ ไม่ปริปากพูดสักคำว่าเขาเป็นฝ่ายปรารถนาก่อน
เดิมทีเขาคิดจะสู่ขอฮูหยินรองให้มาเป็นภรรยาเอก แต่กลับกลายเป็นเพียงสาวใช้ห้องข้าง*
ทำให้ช่วงเวลานั้น ไม่มีใคคให้เกียรติฮูหยินรองสักคนเดียว
เมื่อนางเข้ามาเป็นภรรยาเอก ฮูหยินรองก็ยังถูกกดขี่ข่มเหงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ทั้งหมดนี้ จู่ ๆ ราชครูจวินก็นึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน
“จะต้องอยู่ที่นี่ถึงจะดีขึ้นใช่หรือไม่?” ราชครูจวินได้สติกลับมาก็รีบถามทันที
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า : “หากราชครูจวินมีเครื่องทำความร้อนอยู่ใต้ห้อง หม่อมฉันจะเป็นคนไปตรวจอาการฮูหยินรองทุกวันด้วยตนเอง”
“ไม่มีหรอก ไม่มีเครื่องทำความร้อนในจวนหรอก ที่นี่ก็ไม่เลวนะ ข้าว่าข้าอยู่ต่อที่นี่ดีกว่า เพราะมันเงียบมากด้วย” ราชครูจวินมองไปทางฮูหยินรองที่หลับไปแล้ว
“เจ้าทำสิ่งใดกับนาง นางถึงได้กลิ้งไปกลิ้งมาเช่นนี้” ราชครูจวินเห็นนางกลิ้ง ร่างกายก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ถามก็ไม่พูด จากนั้นภาพหนึ่งก็ยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม เมื่อเห็นฮูหยินรองหยิบบางอย่างเข้าปาก
ราชครูจวินเห็นดังนั้นจึงได้รู้ ที่แท้นั้นคือยาพิษ
เขาจึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ราชครูจวินถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ฮูหยินรองร้องเจ็บปวด แต่เมื่อกล่าวจบก็เริ่มเจ็บปวดอย่างทรมาน ร้องไห้คร่ำครวญไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ราชครูจวินจึงออกคำสั่งเตรียมตัว ทุกคนทยอยกันมาที่แห่งนี้
ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดเล็กน้อย : “เรือนจวินจื่อปลอดภัย อยู่รักษาตัวที่นี่ก่อนเถอะ หม่อมฉันจะจัดยาบรรเทาอาการเจ็บปวดให้ สถานการณ์ในตอนนี้หมดหนทางแล้ว ทำได้แค่ต้องปล่อยให้เป็นเช่นนี้ หม่อมฉันสั่งให้คนไปต้มน้ำแกงขิงแล้ว ประเดี๋ยวจะให้ฮูหยินรองดื่ม น่าจะไม่เป็นอะไร”
ราชครูจวินพยักหน้า จากนั้นก็เดินมานั่งข้างกายของฮูหยินรอง ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้ฮูหยินรอง ก่อนจะโน้มตัวลงนั่งอย่างงุ่นง่าน ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่ง จากนั้นก็นั่งลงข้างกาย หนานกงเย่ไม่ยอมจากไปไหนอย่างแน่นอน เขาเอนกานพิงพนักอยู่ข้างกายฉีเฟยอวิ๋น
ฮูหยินเรือนรองก็มาถึง แต่นางกลับยืนรออยู่หน้าประตู
ราชครูจวินกล่าวว่า : “กลับไปให้หมด”
ฮูหยินเรือนรองจึงได้กลับไป
รอจนกระทั่งจากไปราชครูจวินมองไปทางหนานกงเย่และกล่าวว่า: “เจ้าตั้งใจจะแตกหักกับเมืองอู๋โยวเช่นนั้นหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
หนานกงเย่ลืมตาขึ้นมามองราชครูจวิน : “ในราชสำนัก ไม่มีผู้ใดสนับสนุนข้าเลยสักคนเดียว”
ราชครูจวินหลุบตามองฮูหยินรอง พลางทอดถอนใจ : “เมืองต้าเหลียงในตอนนี้สู้ไม่ได้หรอก และจะไม่ฝืนด้วย ฝ่าบาทรู้แก่ใจดี เหล่าขุนนางรู้แก่ใจดียิ่งกว่า ทำได้เพียงแค่ตอบรับคำร้องของเมืองอู๋โหยว ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ที่อยู่ข้างกาย หนานกงเย่มีสายตาเย็นชา สีหน้าก็ดูไม่ดี ดูเหมือนเพราะเรื่องนี้ เขาจึงไม่เห็นด้วย
ราชครูจวินกล่าวถามขึ้นว่า : “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นด้วย?”
“ข้าไม่ใช่ราชครูจวิน ไม่มีทางยอมยกลูกหลานของตนเองให้คนป่าเถื่อนเช่นนั้นย่ำยีเป็นแน่” หนานกงเย่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางเขาอย่างประหลาดใจ
เขามองไปทางฉีเฟยอวิ๋น ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
ราชครูจวินเงยหน้ามองหนานกงเย่ : “ทั้งสองเมืองมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่างไรเสียก็ต้องมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองเมือง”
“หึ…..หากเป็นบุตรสาวของเมืองอู่โหยวเข้าสู่เมืองต้าเหลียง ข้าก็ยังพอครุ่นคิดได้ แต่บัดนี้เมืองอู๋โหยวและเมืองต้าเหลียงของข้าก็มีความเจริญรุ่งเรืองพอ ๆ กัน เหตุใดเมืองต้าเหลียงถึงตอบรับเขา ยกบุตรสาวให้เมืองของเขาไปละ?
เมืองต้าเหลียงเป็นอย่างไร? ขายบุตรสาวเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเช่นนั้นหรือ?”
ประโยคหลังสุดของหนานกงเย่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเย็นเข้าลึก ๆ จากนั้นก็มองไปทางหนานกงเย่โดยไม่พูดสิ่งใด
ราชครูจวินปรายตามอง : “เชื้อพระวงศ์ไม่มีบุตรสาว เหตุใดจะต้องตึงเครียดเช่นนั้นด้วย?”
“ต่อให้เป็นบุตรสาวของเมืองต้าเหลียง ก็แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่ หากวันนี้ได้เจอกับหญิงสาวที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ บุตรสาวในอนาคตของข้าจะต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้าไม่อาจปกป้องบุตรสาวได้ ข้ายังมีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหรือ? จะปกป้องเมืองต้าเหลียงได้อย่างไร?”
หนานกงเย่มองไปทางราชครูจวินด้วยความโกรธ จากนั้นก็ตะโกนออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว!
*สาวใช้ห้องข้าง เผื่อเวลาลงสนามจริงจะได้ไม่อับอายขายหน้าภรรยาเอก