องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 619 ได้รับของไม่น้อยเลยทีเดียว
อามู่พาฉีเฟยอวิ๋นเดินไปไกลมาก เมืองถาถ่านใหญ่กว่าพวกเขามามากหน่อย คนเดินเลยต้องมีความล่าช้า
พวกฉีเฟยอวิ๋นมาถึงด้านนอกเรือนแห่งหนึ่ง อามู่ชี้มือไป กล่าวว่า“เป็นที่นี่ ด้านหลังเรือนนี้มีช่องสุนัขเข้าออก ข้าเคยเข้าไป มีครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นคนทลวงลงไป ข้าตื่นตะลึงมาก เลยลงไปดูด้วย ต่อมาด้านในไร้ความเคลื่อนไหว ข้านึกว่าคนผู้นั้นได้ตายแล้ว ข้าเลยรีบเผ่น ผ่านมาช่วงหนึ่ง คนผู้นั้นเดินอยู่บนถนนข้าได้พบเจอคนผู้นั้นอีกครั้ง ข้าแปลกใจมากก็เลยวิ่งกลับมากับเขา พบว่าเขาเป็นนายท่านผู้หนึ่งในจวน
แต่เขาชอบเข้าไปในบ่อน้ำแห้งขอดนั่น ตอนที่เขาเข้าไปเป็นช่วงเย็น แต่มีครั้งหนึ่งข้ารออยู่อีกด้าน ตอนฟ้าสางเขาก็ออกมาแล้ว
ต่อมาหลังจากที่เขากลับไปข้าก็เลยได้ลงไปดู ในบ่อมีเชือก อยู่ตรงด้านล่างปากบ่อ ไม่ง่ายที่ข้าจะลงไปได้ ด้านในค่อนข้างกว้างโล่ง แต่มีช่องทาง ข้าเลยเข้าไปทางช่องนั้นได้
เดินอยู่ด้านในยาวไกลอยู่สักระยะหนึ่ง ก็สามารถมองเห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ด้านในมีสิ่งของบางอย่าง และยังมีเสบียงอาหาร โดยรวมถือว่าสิ่งของเยอะมาก”
“อามู่ เหตุใดเจ้าถึงไม่เอามาสักหน่อย?”ฉีเฟยอวิ๋นลูบสัมผัสศีรษะของอามู่ อามู่เลยรีบส่ายหน้า
“ข้าไม่ต้องการ ท่านพ่อของข้ากล่าวกับข้าว่า ต่อให้ยากจนอย่างไรก็ตามอย่าไปลักขโมยไปแย่ง ข้าเพียงแค่แปลกใจถึงได้ลงไปดู แต่ไม่ใช่ของของข้า ข้าไม่ต้องการมันหรอก”
“อามู่เป็นคนดีมาก”ยอมที่จะหิวข้าวดีกว่าจะไปขโมย
ฉีเฟยอวิ๋นมองประตูของเรือนหลังใหญ่ ด้านบนเขียนไว้อยู่ไม่กี่คำ
เป็นจวนของคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า“ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่อ้อมด้านหลัง กล่าวว่า“พวกเราเข้าไปทางเรือนด้านหลัง”
ฉีเฟยอวิ๋นจูงอามู่เดิน ทั้งสามมาที่เรือนด้านหลัง หนานกงเย่จับด้านละคน โอบอุ้มทั้งสองคนเข้าไปทางด้านใน อามู่ตกใจแทบแย่ จนไม่กล้าออกปากตะโกน เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนอยากจะร้อง เธอพยายามอดทนเลยไม่ร้องออกมา หรืออีกนัยหนึ่งคือเธอกลัวอายคน
เวลานี้ภายในเรือนไม่มีคนเลย ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าคนด้านในหนีนี้ไปตั้งนานแล้ว คนที่มีตั๋วเงินร่ำรวยก็แบบนี้แหละ พอพวกเขาเจอการสู้รบก็ตกใจกลัวจนเผ่นหนี ตั๋วเงินทรัพย์สมบัติเลยไม่ได้สนใจมัน
หนานกงเย่ลงจากด้านบนเข้ามาภายในเรือน จากนั้นหนานกงเย่ได้ตรวจสอบดูหนึ่งรอบ
จึงได้สั่งการสืบค้น ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้รู้ว่า ตอนที่เธอออกมาได้มีคนปกป้องคุ้มกันอยู่เงียบๆจำนวนหนึ่ง มิน่าเล่าแวบเดี๋ยวหนานกงเย่ก็ดูออกว่าเป็นเธอ
คนที่คุ้มกันเงียบๆเริ่มทำการตรวจสอบ มั่นใจแล้วว่าภายในเรือนไม่มีคน หนานกงเย่ก้มลงมองตรงปากบ่อ แล้วยกมือขึ้น อีกด้านได้มีคนส่งตะบันไฟมา หนานกงเย่ลองแล้ว มั่นใจว่าด้านล่างมีอากาศขับเคลื่อนอยู่ ถึงได้เรียกคนลงไป
“ดูสิว่ามีคนกับกับดักหรือไม่”ฉีเฟยอวิ๋นสั่งกำชับ
อามู่รู้สึกลำบากใจ เขารีบกล่าวว่า “ข้าไม่ได้โกหกนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบกล่าวปลอบประโลมว่า“ไม่ได้บอกว่าเจ้าโกหก แต่ครอบครัวนี้ล้วนหนีไปหมดแล้ว เมื่ออดีตหากด้านล่างเก็บสิ่งของมากมายจริง เช่นนั้นไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะไปได้ไม่ไกล อยู่ด้านล่างนี้ เพราะฉะนั้นตอนที่ลงไปจะต้องระมัดระวัง”
อามู่หน้าแดงก่ำ ตอบว่าอ้อรับทราบ
หนานกงเย่ชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋น แสดงท่าทางว่าให้คนลงไปได้
มีสามคนลงไป ไม่นานก็มีคนขึ้นมา
“ด้านล่างมีหนึ่งช่องทาง แต่ไม่มีคน พวกเรายังต้องการให้ลงไปสองคนพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ไปเถอะ”จากนั้นก็มีคนตามลงไปอีก ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ด้านนอก ไม่นานคนของหนานกงเย่ได้กลับมา ด้านในมีเสบียงอาหารมากมาย แต่ไม่ใช่สิ่งของขึ้นรา ล้วนเป็นของดีอยู่ และยังมีตั๋วเงินทองอัญมณีมากมาย
หนานกงเย่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาต้องการให้คนเร่งเคลื่อนย้ายอัญมณีของมีค่า อีกทั้งได้ส่งเรียกคนมาช่วยอย่างลับๆ ตั๋วเงินได้ย้ายไปที่อาณาจักรชายแดนเมืองถงกวนของต้าเหลียงก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นหาเจ้าของร้านมาแล้วนำสิ่งของวางลงกดไว้ใต้พื้นดิน
ผนังของที่นั่นเป็นเหล็ก น้ำไฟเข้ามาลุกล้ำไม่ได้ อีกทั้งเจ้าของร้านเป็นคนของตนเอง เลยรู้สึกเชื่อมั่น
เรื่องนี้ทำยุ่งยากมาก หนานกงเย่ต้องการหลบเลี่ยงไม่ให้คนรู้ โชคดีที่เป็นช่วงครึ่งค่อนคืน ไม่มีคนมาพบเจอ เขาใช้ฐานันดรศักดิ์ ไม่นานก็จัดการเรื่องนี้สำเร็จ
ยุ่งวุ่นวายแล้วทั้งคืน ช่วงเช้าตรู่ ฉีเฟยอวิ๋นนับว่าได้เคลื่อนย้ายเสบียงอาหารทั้งหมดกลับเมืองถงกวนแล้ว
มีเสบียงอาหารเจ้าของร้านดีใจอย่างมาก กลับกันฉีเฟยอวิ๋นห่วงโหยหาเสบียงอาหารอื่นๆ
อามู่กล่าวว่าในเมืองถาถ่านยังมีหกเจ็ดเรือน อีกทั้งเป็นครอบครัวที่มีทรัพย์สินมั่งคั่ง
ฉีเฟยอวิ๋นคล้ายดั่งเก็บได้ของล้ำค่าอย่างนั้นเลย เขาปฏิบัติกับอามู่อย่างชื่นชมรักใคร่
หนานกงเย่รู้สึกว่าพระเจ้าช่วยเมืองต้าเหลียง
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเขากล่าวพูด เลยกรอกตาขาวด้วยความไม่สบอารมณ์
หนานกงเย่หัวเราะอย่างเยือกเย็น กล่าวว่า“ข้าให้เจ้าอยู่ วันนี้ต้องไล่ตามศัตรูต่อไป ข้าต้องการจับแม่ทัพซานเต๋อให้อยู่หมัด เขาเป็นแม่ทัพผู้หนึ่งก็ไม่มีทางที่จะวิ่งหนีอย่างนี้ได้ และกองกำลังทหารของข้าต้องออกไปถึงจะสามารถเหลือเวลาให้อวิ๋นอวิ๋นได้ เรื่องตั๋วเงินและเสบียงอาหารมอบแก่อวิ๋นอวิ๋นนะ ข้าจะใช้เวลาสามวัน อวิ๋นอวิ๋นดูแลตนเองดีๆนะ”
“รู้แล้ว ท่านอ๋องไปเถิดเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นจัดเตรียมอย่างเหมาะสม หนานกงเย่เลยหมุนตัวเดินไป
คนอยู่แล้ว เขาต้องการโจมตีเมืองอู๋โยว
ก่อนที่จะไปหนานกงเย่ได้นำคนที่จวินโม่ซ่างส่งมาทั้งหมดควบคุมให้สงบ ต้องการนำเสบียงอาหารและทรัพย์สินมีค่าที่อยู่ใต้เมืองถาถ่านออกไปอย่างเงียบเชียบเป็นความลับ ไม่ต้องการให้คนรู้
หนานกงเย่ได้สั่งการทังเหอมาก่อนแล้ว ทังเหอมาในเวลาที่เหมาะสม พอเจอฉีเฟยอวิ๋นรีบช่วยเธอดำเนินการทันที อีกทั้งเรื่องราวการเคลื่อนย้ายเสบียงอาหารและของมีค่าล้วนเป็นทังเหอมาจัดการ
ช่วงกลางวันฉีเฟยอวิ๋นตรวจโรคให้คนไข้ เปิดฉางวางเสบียงอาหารของมีค่าช่วงเวลากลางคืน
ระหว่างที่ฉีเฟยอวิ๋นตรวจสอบ คิดไม่ถึงเลยว่าตั๋วเงินห้าร้อยล้านตำลึงจีน ยังไม่นับรวมของมีค่าด้านใน แล้วยังมีเสบียงอาหารที่ไม่สามารถวางได้ และแม้กระทั่งกองตั๋วเงินเป็นชั้นๆพะเนินเทินทึก
ทังเหอก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะได้รับเสบียงอาหารอย่างง่ายดายเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นมีความคิดหนึ่ง เสบียงอาหารอาหารที่ต้าเหลียงโจมตีเมืองอู๋โยว ทั้งหมดให้พ่อค้าเมืองอู๋โยวเอาออกมา
ทังเหอก็คิดเช่นนี้ ความคิดของทั้งสองฝ่ายคือบังเอิญเหมือนกันมาก
ฉีเฟยอวิ๋นรีบทำการตัดสินใจ ส่งจดหมายรายงานหนานกงเย่
เวลานี้หนานกงเย่ได้โจมตีคูเมืองที่สองแล้ว อาณาประชาราษฎร์ของเมืองอู๋โยวเกิดความห่อเหี่ยวใจ เดิมคิดว่ากองกำลังทหารห้าแสนนายจะสามารถกวาดล้างต้าเหลียงได้ ผลสรุปหลังจากที่กองกำลังทหารห้าแสนนายมาแล้ว เกิดการฉกฉวยอาณาประชาราษฎร์ที่เป็นหญิงไม่ต้องกล่าวถึง ยังทำร้ายอาณาประชาราษฎร์ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ส่วนการแย่งชิงเสบียงอาหารและของมีค่า ภายในระยะเวลาสั้นๆสองเดือน แต่ละเมืองล้วนเต็มไปด้วยเสียงร้องดังระงม
กลับกันเหล่าพลทหารของต้าเหลียงมาแล้ว กลับสงบจิตใจของอาณาประชาราษฎร์ เป็นอย่างนี้มาแสดงว่ารู้และเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง
เหล่าอาณาประชาราษฎร์ก็เพียงแค่อยากใช้ชีวิตดีๆสักช่วงหนึ่ง ผู้ใดเป็นประมุขของเมืองพวกเขานั้นล้วนไม่ได้ใส่ใจ
เมืองถาถ่านกลับคืนสู่วันวานเมื่ออดีต ส่วนคูเมืองที่สองของเมืองอู๋โยวอาณาประชาราษฎร์กำลังใจกวัดไกวแกว่งกัน กำลังคิดกันว่าพอมีกองกำลังทหารตีแตก พวกเขาอาจจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
กลับกันกับเหล่าพ่อค้าแม่ขาย ล้วนรู้สึกว่าไม่มีทางหรอก แม้ว่ากองกำลังทหารต้าเหลียงจะควบคุมดูแลดีอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติดีต่ออาณาประชาราษฎร์ของศัตรูได้ เพราะฉะนั้นคนที่เผ่นล้วนมีตั๋วเงินมีทรัพย์สิน ส่วนที่อาณาประชาราษฎร์ที่อยู่คือคนที่ยากจน
หนานกงเย่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างมั่นคงต่อหน้าทั้งสองกองทัพ ฝั่งตรงข้ามคือแม่ทัพซานเต๋อที่พ่ายแพ้แล้วถอยทัพ
วันนี้หนานกงเย่สวมใส่ชุดเกราะสีขาว ศีรษะสวมใส่หมวกมีเงิน ด้านหลังบนหลังของม้ายังแขวนด้วยปืนหนึ่งกระบอก
บริเวณโดยรอบสองด้าน แยกกันอย่างชัดเจนคือหวาชิงกับอวิ๋นเซวียนอี้คู่สามีภรรยา
หนานกงเย่ร้องท้ารบ แม่ทัพหวากับท่านอ๋องหย่งจวิ้นเป็นผู้ติดตามอยู่ด้านหลัง
แม่ทัพซานเต๋อส่งคนออกไปสู้รบอู๋กั่วอยากจะออกไป กลับถูกอวิ๋นเซวียนอี้รั้งไว้ว่า“เจ้าเป็นหญิงพเนจร ไปๆมาๆไม่ได้เป็นปัญหา แต่ที่นี่คือสนามรบ ไม่ใช่การต่อสู้ที่ง่ายดาย ทุกคนต่างใช้กลยุทธ์แผนการ”
อู๋กั่วพยักหน้ากล่าวว่า“เช่นนั้นท่านระวังตัวด้วยนะ!”
“ได้!”
วันนี้อวิ๋นเซวียนอี้เป็นหัวขบวน กล่าวร้องเสียงดังกังวาน แล้วกระโจนเข้าไป
ไม่นานก็สู้รบกันขึ้น