บทที่ 9 ฝึกตนอย่างหนัก
“ข้ารู้จักเจ้าหรือ ?” หลัวซิวขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแสยะยิ้มออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “เจ้าคงไม่รู้จักข้าแน่นอน เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จักข้าเสียด้วยซ้ำ !”
“ในเมื่อข้าไม่รู้จักเจ้า แล้วจู่ ๆ เจ้าพูดว่าข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ?” หลัวซิวพูดเยาะเย้ย
“อะไรนะ ?” แววตาของชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวปรากฏความเย็นชาและดูดุดันขึ้นมา แต่หลังจากนั้นเขากลับแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่คนชั้นต่ำอย่างเจ้า จะกล้าต่อกรกับสองพี่น้องตระกูลจาง เจ้าช่างใจกล้ามากจริง ๆ”
“แต่ข้าอยากแนะนำให้เจ้าจดจำฐานะของตัวเองให้ดี หยู่ซินไม่มีทางลดตัวลงไปข้องแวะกับคนชั้นต่ำอย่างเจ้าเป็นอันขาด” ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพูดเสียงแข็ง และจ้องมองมาด้วยแววตาที่ดุดัน แฝงไปด้วยการขู่บังคับ
หลัวซิวหันมองหลิวหยู่ซิน ผู้หญิงคนนี้ช่างงดงามจริง ๆ หากจะว่ากันตามตรงแล้ว ความรู้สึกที่เขาแอบหลงรักหลิวหยู่ซินนั้น เป็นความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่สวยงาม
เมื่อได้ครอบครองอัญมณีแห่งความเป็นความตาย หลัวซิวก็เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความสำเร็จในอนาคตของเขา คงไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในเมืองชิงหยุนเล็ก ๆ แห่งนี้แน่นอน อีกทั้งหลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย เขาก็พบว่าในโลกใบนี้ ไม่มีพลังที่แข็งแกร่ง ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
ดังนั้น ในใจของหลัวซิวตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการไขว่คว้ามีเพียงแค่ยุทธ์ที่ไม่อาจหาใครเทียบได้บนโลกนี้ ขอเพียงแค่เขามีพลังที่แข็งแกร่งมากพอ มีผู้หญิงแบบไหนบ้างที่เขาจะไม่สามารถครอบครองได้ ?
ส่วนคำพูดจาดูถูกเย้ยหยัยที่ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพูดกับตนนั้น หลิวหยู่ซินเองกลับเพิกเฉย หรือนี่แสดงให้เห็นว่า อันที่จริงแล้วในใจของนางก็มีความคิดเช่นนี้อยู่เช่นเดียวกัน ?
“สวีเฟย เลิกพูดได้แล้ว” หลิวหยู่ซินขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า : “หลัวซิวเคยช่วยข้าไว้ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าว่าร้ายเขา”
จากนั้นนางจึงหันมองหลัวซิวว “ถ้าหากเจ้าไม่สามารถผ่านการทดสอบในอีกสามเดือนให้หลังนี้ไปได้ ถ้าจะเขียนจดหมายแนะนำตนเองให้เจ้าหนึ่งฉบับ เจ้าจงนำมันไปที่ตระกูลหลิว จะมีคนคอยจัดการทุกอย่างให้เจ้าเอง”
ขณะที่พูด นางก็หยิบจดหมายที่ดูประณีตออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งฉบับ แล้วยื่นให้หลัวซิว
หลัวซิวยิ้มอย่างเบิกบาน นางเป็นคุณหนูหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลหลิว ถ้าหากเขาเข้าไปเป็นผู้พิทักษ์ในตระกูลของนางจริง ก็คงถือเป็นการปฏิเสธอย่างเป็นนัยวิธีหนึ่ง เป็นการทำให้เขารู้ว่าฐานะของเขาและนางแตกต่างกันมากแค่ไหนใช่หรือไม่ ?
จากสายตาที่หลิวหยู่ซินจ้องมองตนเอง หลัวซิวก็พอจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ภายใน
“ไม่ต้องหรอก ขอบคุณน้ำใจของเจ้ามาก” หลัวซิวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงชี้ไปที่เคล็ดวิชายุทธ์ทั้งสามเล่มที่อยู่ในมือของตนเอง แล้วพูดว่า : “ข้าจะต้องรีบกลับไปฝึกตนอีก ขอตัวก่อนนะ”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็มุ่งหน้าเดินออกจากประตูใหญ่ของหอเก็บหนังสือโดยทันที
หลัวหยู่ซินผงะไปเล็กน้อย แววตาอันงดงามของนางสั่นคลอน ราวกับมีความคิดอะไรบางอย่าง
ส่วนสวีเฟย ชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวก็ส่งเสียงเย้ยหยันออกมา “หยู่ซิน คนชั้นต่ำเช่นนี้เจ้าจะไปสนใจมัยทำไม”
หลิวหยู่ซิยส่ายหัว “หรือที่ข้าทำเช่นนี้ เป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของเขา ?”
หลังจากลงทะเบียนกับผู้อาวุโสที่เฝ้าหอเก็บหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็เดินถือเคล็ดวิชายุทธ์ทั้งสามเล่มเดินออกมาจากสถานที่ที่เก็บรวบรวมตำราวิชายุทธ์เอาไว้มากมายแห่งนี้
ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ในการเลือกรับวิชายุทธ์ในหอเก็บหนังสือ เมื่อเขาออกมาจากหอเก็บหนังสือก็ไม่เห็นหวางฮุยและหลูเฟิงแล้ว คิดว่าทั้งสองคงไปที่ห้องพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว
……
“สามเดือนให้หลังจะเป็นการทดสอบประจำปี ลูกศิษย์ที่มีอายุครบสิบสี่ปีและสิบเจ็ดปีบริบูรณ์จะต้องเข้าร่วม คนที่ไม่ผ่านการทดสอบก็จะถูกขับไล่ออกจากสำนักยุทธ์”
สำนักยุทธ์มีกฎระเบียบเช่นนี้ก็เพราะว่า การฝึกยุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ความยากลำบากก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นสำหรับสำนักยุทธ์แล้ว ลูกศิษย์ที่ไม่สามารถผ่านเกณฑ์การประเมินไปได้ จึงไม่ใช่คนที่คู่ควรแก่การบ่มเพาะ จึงสมควรถูกไล่ออกไป
แน่นอนว่า ถ้าหากลูกศิษย์ชั้นต้น ถึงแม้จะยังมีอายุไม่ครบ14ปีบริบูรณ์ ถ้าหากมีผลการฝึกฝนที่ไต่เต้าขึ้นไปถึงระดับการกลั่นร่างขั้น5เรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้เช่นเดียวกัน และสามารถก้าวขึ้นสู่ชั้นกลางได้ ลูกศิษย์ในชั้นกลางเองก็สามารถขึ้นสู่ชั้นสูงได้ด้วยวิธีการเดียวกัน
ภายในห้องพักส่วนตัว หลัวซิวกำลังตั้งสมาธิ แล้วคิดผังลายเส้นชีวิตในสมองของตนเอง แล้วพัฒนา《วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก》
สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือ ยกระดับวรยุทธ์ระดับ2นี้ให้ได้
ใช้เวลาสองวัน ในที่สุดหลัวซิวก็ยกระดับ《วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก》ได้สำเร็จ อีกทั้งเป็นการยกระดับจนถึงขั้นสูงสุดที่ไม่อาจพัฒนาเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป
จากนั้นหลัวซิวจึงเริ่มใช้วรยุทธ์ที่ผ่านการยกระดับเรียบร้อยแล้วมาใช้ในการฝึกตน พลังจิตของปฐพีเข้ามารวมกันอยู่บนร่างกายของเขา และก่อตัวเป็นหมอกสีขาวจาง ๆ หลังจากพลังจิตเข้าไปในร่างกายของเขาเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณภายในร่างกาย ด้วยอิทธิพลของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ทำให้พลังจิตที่เข้าสู่ร่างกาย ถูกหลอมรวมกลายเป็นปราณเป็นตาย2ระดับ
กลั่นกลั่นร่างให้ขั้น4ถึง6 ถือเป็นขั้นตอนของการฝึกฝนเส้นเอ็ดและกระดูก ในขณะที่ฝึกปราณเป็นตาย2ระดับเข้าสู่เส้นเอ็นและกระดูก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเส้นเอ็นและกระดูกแล้วนั้น ในขณะเดียวกัน ปราณในเองก็ถูกรวบรวมสะสมเอาไว้ในเส้นเอ็นและกระดูกเช่นเดียวกัน และสามารถดึงออกมาใช้ได้อย่างอิสระในระหว่างการต่อสู้
ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่าง ยิ่งมีผลการฝึกตนที่สูง ปราณในก็จะยิ่งชัดเจนและมีพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ในระหว่างการฝึกตนไม่ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน การเก็บตัวในครั้งนี้ยาวนานยิ่งกว่าครั้งก่อน ไม่ช้าเวลาก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
ครั้งก่อนใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ก็สามารถก้าวข้ามจากการกลั่นร่างขั้น2ขึ้นไปสู่การกลั่นร่างขั้น4ได้ แต่ความเร็วในการฝึกตนกลับถดถอยลงมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลการฝึกตนยิ่งสูง ความยากในการยกระดับก็จะยิ่งสูงไปด้วยเช่นกัน และเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ หลัวซิวไม่ได้เป็นเหมือนคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้ ที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการฝึกตน
เมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หลัวซิวก็รับรู้ได้ถึงผลการฝึกตนภายในร่างกาย เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “ระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ฝึกตนถึงการกลั่นร่างขั้น5จนได้ ถ้าหากข้าเป็นเหมือนกับคุณชายสูงศักดิ์พวกนั้น อาศัยยา และอาศัยค่ายกล ระยะเวลาหนึ่งเดือน อย่างน้อยข้าคงจะผ่านไปถึงการกลั่นร่างขั้น6 !”
สิ่งนี้ หลัวซิวเองก็รู้สึกจนใจ ไม่ว่าจะเป็นยา ค่ายกล หรือแม้กระทั่งหินพลังจิตที่ใช้เปิดค่ายกล ล้วนแล้วแต่มีราคาแพงทั้งสิ้น จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการแลกเปลี่ยน
“ผลการฝึกตนยกระดับขึ้นแล้ว ต่อไปก็คือวิชายุทธ์และวิชาท่าร่าง !”
หลัวซิวลุกขึ้นมาจากเตียง และเริ่มฝึกหมัดเสือมังกรซึ่งเป็นวิชายุทธ์ระดับสองอยู่ภายในห้อง การออกหมัดรวดเร็วและรุนแรง จนเกิดเป็นเสียงของมังกรและเสือดังขึ้น มีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าหมัดกระทิงบิ่นหลายเท่าตัว
แต่หลัวซิวยังไม่รู้สึกพอใจนัก เขาคิดผังลายเส้นชีวิตขึ้นในสมอง แล้วยกระดับทักษะยุทธ์นี้ขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
ปราณเป็นตาย2ระดับกำลังไหลเวียนอยู่ภายในชั้นผิวหนังและเส้นเอ็นของเขา ความลึกลับของการมีชีวิต ความน่ากลัวของการตาย มีเหตุผลที่ลึกซึ้งบางอย่างถูกตราตรึงอยู่ในร่างกายและจิตวิญญาณของเขา ความรู้สึกนี้ช่างวิเศษจริง ๆ
“โฮก !”
หลัวซิวออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือที่กำลังวิ่งเขาตะครุบเหยื่อ ประกายสีดำพร่ามัวส่องสว่างออกมาจากร่างกายของเขา ปราณแห่งความตายกำลังค่อย ๆ ซึมซาบ ราวกับว่าเขากำลังกลายเป็นเสือที่ดุร้าย และกำลังจะฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ
“ตุบ !”
โต๊ะไม่ในห้องไม่อาจต้านทานพลังได้ไหว จึงพังทลายลงมาทันที และเศษไม้ก็กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว
หลัวซิวหยุดการเคลื่อนไหวลง เขาเห็นรอยยุบบนผนังซึ่งเกิดจากหมัดของเขา และมีรอยแตกเล็ก ๆ อยู่โดยรอบ
เป็นที่รู้กันดีว่า สิ่งก่อสร้างในสำนักยุทธ์ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นจากหินเนื้อแข็ง หากไม่มีพลังถึงระดับการกลั่นร่างขั้น7 ไม่มีทางทำลายให้เสียหายได้เด็ดขาด
“พลังช่างแข็งแกร่งจริง ๆ !”
หลัวซิวมองดูรอยหมัดและรอยแตกบนผนัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผลลัพธ์นี้สามารถเทียบเท่าได้กับพลังของทักษะยุทธ์ระดับ3ได้เลย
“หมัดเสือมังกรแบ่งออกเป็นท่าเสือพิฆาตและท่ามังกรทะยาน โดยพลังของท่ามังกรทะยานนั้นเหนือกว่าพลังของท่าเสือพิฆาต ซึ่งไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นไร ?”
หลัวซิวรู้สึกกระตือรือร้นที่จะลอง แต่เขาก็ไม่กล้าฝึกทักษะยุทธ์ภายในห้องอีกต่อไป เพราะถ้าหากทำให้ห้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก เขาคงไม่มีเงินมากพอที่จะชดใช้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวจึงเปิดประตูห้องออก แล้วมุ่งหน้าไปยังลานฝึกยุทธ์ นอกจากทักษะยุทธ์แล้ว เขายังต้องฝึกท่าร่างก้าวสั้นอีกด้วย ซึ่งภายในห้องพักมีที่ว่างอยู่อย่างจำกัด
########################