บทที่ 49 ของล้ำค่าที่ยากจะนับราคาได้
ผลการฝึกตนเพิ่มเป็น4เท่า แสดงว่าหลัวซิวฝึกตน1วัน เท่ากับคนอื่นที่ใช้เวลาฝึก4วัน และอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น1ที่เขาใช้อยู่ มันแค่เพิ่มผลการฝึกตนเป็นสองเท่าเอง
อุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น2นี้ จะมีค่ามากกว่ายาผนึกปราณระดับ2มาก ราคาใกล้เคียงกับหินพลังจิตสองพันก้อน!
รางวัลของแชมป์ ช่างทำให้คนอิจฉาจริงๆ !
แค่ยาผนึกปราณกับอุปกรณ์ค่ายกล ก็มีราคาสามพันหินพลังจิตแล้ว การที่ได้เลือกเรียนวิชายุทธ์ระดับ4 ยิ่งหาค่าเปรียบไม่ได้เลย
“ขอบคุณเจ้าสำนักที่ให้ครับ!” หลัวซิวโค้งตัวคำนับทำความเคารพ
เจ้าสำนักยุทธ์ก็ยิ้มๆ “ไม่ต้องมาขอบคุณหรอก นี่คือสิ่งที่เอ็งสมควรได้ สำหรับอัจฉริยะ ทางสำนักยุทธ์ไม่หวงทรัพยากรที่จะใช้ชุบเลี้ยงหรอก”
พอสิ้นเสียง เจ้าสำนักยุทธ์ก็หันไปมองผู้อาวุโสจวงหนานเทียนด้านล่าง
“เอาเข้ามา!”
จวงหนานเทียนลุกขึ้น แล้วพูดเสียงดัง
ที่หน้าประตูตำหนัก หลัวซิวได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา แล้วก็หันไปมอง ก็เห็นองครักษ์เกราะเขียวควบคุมตัวชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งเข้ามา
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรคนนี้สีหน้าอิดโรย พอเห็นหลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง สายตาก็เป็นประกาย
“หลัวซิว คนนี้ก็คือจางช่าวฉง หัวหน้าตระกูลจางในเมืองชิงหยุน”
จวงหนานเทียนค่อยๆ พูดว่า “ในการต่อสู้ เอ็งได้ทำลายเส้นชีพจรของจางห่าย จางช่าวฉงคนน็เคียดแค้น เคยจ้างทีมนักล่าอสูรที่มีเฉินหู่เป็นผู้มา มาตามฆ่าเอ็ง สำนักยุทธ์ได้รวบรวมหลักฐานไว้หมดแล้ว ก็เลยจับตัวมันมา”
“ที่แท้ก็คือตระกูลจาง!” หลัวซิวก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้ จริงๆ แล้วตั้งแต่แรก ก็สงสัยตระกูลจางที่สุด แต่ไม่มีหลักฐาน
“ที่ตระกูลจางมีที่ยืนในเมืองชิงหยุน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเบื้องหลัง นายท่านของตระกูลจางคือจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น9 จัดการเรื่องราวภายนอกสำนักให้กับสำนักเซียวเหยา ไม่นานมานี้ นายท่านของตระกูลจางส่งข่าวมา ว่าช่วยรักษาชีวิตจางช่าวฉงไว้หน่อย”
จวงหนานเทียนก็พูดเสริมไป ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้ว
“ตามกฎแล้ว คนที่คิดจะฆ่านักเรียนของสำนักยุทธ์มีโทษถึงตาย แต่มีนายท่านคนนั้นของตระกูลจางอยู่ เรื่องนี้ก็เลยพิเศษหน่อย ที่บอกแบบนี้ เอ็งเข้าใจไหม?” จวงหนานเทียนพูดจบ ก็ถามหลัวซิว
หลัวซิวหายใจเข้าลึก แล้วพยักหน้าพูดว่า “ผมทราบครับ ผู้อาวุโสหมายความว่า ตระกูลจางมีนายท่านเป็นเบื้องหลัง จะฆ่าไม่ได้ ใช่ไหมครับ?”
“เอ็งพูดถูก แต่ก็ไม่ถูก!” จวงหนานเทียนยิ้มเบาๆ “ถึงแม้นายท่านของตระกูลจางจะเป็นคนดูแลนอกสำนัก แต่ก็ยังไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องภายในของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนได้ ขอเพียงเอ็งบอกมาคำเดียว ก็จะสามารถตัดสินความเป็นตายของจางช่าวฉงคนนี้ได้!”
พอได้ยินดังนั้น จางช่าวฉงก็สีหน้าเปลี่ยน แต่ตอนอยู่ต่อหน้าเจ้าสำนักยุทธ์และผู้อาวุโสทั้งหลาย เขากลับไม่กล้าพูดอะไร
ในตอนนั้นเอง เจ้าสำนักยุทธ์ก็พูดนิ่งๆ ขึ้นว่า “หลัวซิว นี่มันเป็นทางเลือกของเอ็ง ด้วยอัจฉริยะอย่างเอ็ง จะต้องเข้าไปในสำนักเซียวเหยาแน่ ศิษย์ทุกคนจะต้องเริ่มจากนอกสำนักทั้งนั้น และนายท่านของตระกูลจางคนนี้ ก็เป็นคนดูแลนอกสำนัก……”
เจ้าสำนักยุทธ์ไม่ได้บอกชัดเจน แต่หลัวซิวก็พอจะฟังความหมายออก
“ถ้าผมฆ่าจางช่าวฉง ก็จะเป็นการไปหาเรื่องกับนายท่านของตระกูลจางที่ดูแลเรื่องนอกสำนักคนนั้น แต่ถ้าผมไม่ฆ่า……..”
หลัวซิวขมวดคิ้ว สำหรับเขาแล้ว ต่อให้ตนเองไม่ฆ่าจางช่าวฉง นายท่านตระกูลจางคนนั้นก็คงจะไม่จำบุญคุณของตนเองครั้งนี้หรอก
ยิ่งกว่านั้น จะขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดในโลกยุทธ์ ถ้ายังมัวกลัวนั่นกลัวนี่ ก็คงจะมีผลกระทบต่อจิตใจที่มีต่อโลกยุทธ์
สำหรับคนที่อยากจะให้ตนเองตายนั้น หลัวซิวคิดว่า จางช่าวฉงสมควรตาย!
ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจว่า เจ้าสำนักยุทธ์ให้เขามาเลือก จริงๆ แล้วก็เหมือนเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง ถ้าเขากลัวนายท่านตระกูลจาง ก็จะทำให้ทางระดับสูงของสำนักยุทธ์กลัวอำนาจไป พูดน่าฟังหน่อยก็คือ คนฉลาดก็อยู่ให้เป็น พูดให้น่าเกลียดหน่อยก็คือ ขี้ขลาด อ่อนแอ!
ตอนที่หลัวซิวกำลังครุ่นคิดข้อดีข้อเสียทั้งหลายนั้น ผู้อาวุโสจวงหนานเทียนก็พูดขึ้นมาว่า “ยังมีอีกเรื่อง หลายวันก่อนหน้านี้ ตระกูลจางส่งคนไปที่หมู่บ้านผานฉือ แล้วจับตัวพ่อแม่และพี่สาวของเอ็งไว้”
“อะไรนะ!” หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
“นี่มัน…..อันนี้ผมไม่ได้ทำ!” จางช่าวฉงก็งงไป “ผมไม่ได้ส่งคนไปจับตัวพ่อแม่ของหลัวซิวนะ!”
“บังอาจ!ต่อหน้าเจ้าสำนัก จะมาโวยวายในนี้ได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้น พลังที่ส่งออกมา ทำให้จางช่าวฉงเงียบกริบและตัวสั่น
“คุณบอกว่าคุณไม่ได้ทำ แล้วทำไมตระกูลจางถึงส่งคนไปจับตัวพ่อแม่และพี่สาวผมไว้ล่ะ?”
หลัวซิวพูดเสียงโมโห สายตาเผยรังสีอาฆาต “คุณมัน สมควรตาย!ตายก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย!”
พ่อแม่และพี่สาวของหลัวซิว ถือว่าเป็นสิ่งที่ไปแตะต้องไม่ได้ของหลัวซิว ไม่ต้องพูดถึงนายท่านที่อยู่เบื้องหลังของตระกูลจาง ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของสำนักเซียวเหยา เขาก็ไม่สน
ไม่สนใจหรอกว่าจะเบื้องหลังอย่างไร ใครกล้ามาทำญาติของกู กูจะเอาตายให้หมด!
“ลากออกฆ่า!” เจ้าสำนักยุทธ์ไม่โกรธแต่มีความยิ่งใหญ่ น้ำเสียงเย็นชา
“ครับ!” องครักษ์เกราะเขียวสองคนก็ลากตัวไปจางช่าวฉงทันที
“ผมไม่ได้ทำ!ไว้ชีวิตด้วยเจ้าสำนัก!เจ้าสำนัก………” จางช่าวฉงตะโกนสุดเสียง แต่คนระดับสูงของสำนักยุทธ์ก็นิ่งใส่ แค่เจ้าสำนักเล็กๆ ในสังคมคนหนึ่ง ในสายตาของพวกเขา ก็แค่มดตัวน้อยๆ เท่านั้น
พอเห็นจางช่าวฉงถูกลากออกไป ในใจของหลัวซิวกลับเดือดดาลยากจะสงบลง
“หลัวซิว เอ็งอายุเท่านี้แต่มีความกล้า มีความแข็งแกร่ง แต่เอ็งต้องรู้ไว้ พอเอ็งเข้าไปในฝ่ายนอกสำนักของสำนักเซียวเหยา นายท่านตระกูลจางคงจะต้องหาโอกาสเล่นงานเอ็งแน่” เจ้าสำนักยุทธ์กล่าว
“ผมทราบครับ แต่ผมไม่กลัว!”
หลัวซิวทำความเคารพ “ขอเจ้าสำนักช่วยบอกด้วย ว่าตอนนี้พ่อแม่และพี่สาวของผมอยู่ที่ไหน?”
“เรื่องนี้เอ็งวางใจได้เลย พวกเขาสบายดี” เจ้าสำนักยุทธ์กล่าว
หลัวซิวก็รีบขอบคุณ ในใจก็โล่งอก
เขาก็รู้ดี ว่าถ้าไม่ใช่เพราะตนเองแสดงความสามารถออกมาแบบนั้น ทางระดับสูงของสำนักยุทธ์ก็คงจะไม่ปฏิบัติกับเขาเป็นพิเศษแบบนี้ จะว่าไปแล้ว โลกนี้มันก็ใช้กำลังเอามาพูดกันทั้งนั้น
ขอเพียงตนเองมีพลังที่แข็งแกร่ง ถึงจะสามารถรับรองความปลอดภัยของคนรอบกายได้ จะไม่ได้มีใครกล้ามทำร้าย
ก็เหมือนกับที่เจ้าสำนักยุทธ์ที่อยู่ในเมืองชิงหยุน ก็คือความยิ่งใหญ่ที่แพร่ไปทั่ว ไม่มีใครกล้าบังอาจ!
“ในเมื่อไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแล้ว อย่างนั้นก็สามารถสงบใจฝึกฝนได้แล้ว พยายามบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ให้เร็วที่สุด รอเอ็งกลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ เดี๋ยวอาจารย์จะแนะนำให้เอ็งไปทำการประเมินนอกสำนัก”
เจ้าสำนักยุทธ์เอ่ยปากช้าๆ “ในบรรดาวิชายุทธ์ระดับ4 อาจารย์ขอแนะนำเอ็งว่าอย่าเลือกกำลังภายใน เพราะว่าเอ็งฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ เดิมมันก็เป็นวิชากำลังภายในที่สูงส่งอยู่แล้ว”
ที่ได้เลือกให้อยู่กำลังภายในระดับ3 เพราะว่าพลังหยางบริสุทธิ์มันฝึกสำเร็จยาก แต่ถ้าฝึกสำเร็จ ผลฝึกตนที่ได้ กำลังภายในระดับ4ไม่อาจเทียบได้เลยเชียวล่ะ รอเอ็งเข้านอกสำนักเซียวเหยา พอถึงตอนนั้นก็สามารถฝึกกำลังภายในที่สายเดียวกับพลังหยางบริสุทธิ์ ที่มีชื่อว่าพลังพรสวรรค์!
“โครม!”
ในห้องของลู่เมิ่งเหยา มีไฟโหมลุกขึ้น สองคนที่นั่งขัดสมาธิตรงข้ามกัน เสื้อผ้าบนตัวถูกเผาจนสิ้น แก้ผ้านั่งตรงข้ามกัน
7วันครั้ง นี่ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้ว แต่สภาพที่แก้ผ้าใส่กันแบบนี้ ก็ทำให้ใบหน้าเรียวๆ ของลู่เมิ่งเหยาแดงก่ำขึ้นมา เธอรีบหันตัวไป หันหลังให้หลัวซิว
ผิวขาวๆ เรียบเนียนนั้น ทำให้หลัวซิวใจเต้นเล็กน้อย แต่พลังไฟร้อนในกายที่แผ่ออกมา ทำให้เขาได้แต่ต้องหลับตาไปอย่างไม่อยากทำ แล้วเริ่มขับเคลื่อนพลังหยางบริสุทธิ์กลับเข้ามา
ผลการฝึกปราณในได้มาถึงจุดที่สูงสุดแล้ว ปราณในที่เกินออกมาก็จะไปรวมอยู่ที่จุดตันเถียน ตอนที่จะทะลวงไปยังแดนฝึกชี่ไห่นั้น ปราณในนี้ก็จะพุ่งออกมาเหมือนภูเขาไฟ เพื่อช่วยเขาอีกแรง
ไม่นาน ลู่เมิ่งเหยาก็ไปใส่เสื้อผ้าใหม่ แล้วก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าโรคชีพจรขาดธาตุไฟของตนเองดีขึ้นกว่าครั้งแล้ว และตนเองก็ไม่ต้องอาศัยยาธาตุน้ำและปราณในมาคอยควบคุมไว้แล้ว
########################