บทที่ 44 สู้กับจ้าวฉีชวง
อายุ18เป็นเกณฑ์พื้นฐาน ขอเพียงได้กลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ตอนอายุไม่เกิน18 ก็จะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมทดสอบ ถ้าผ่าน ก็จะได้เป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักเซียวเหยา
สำนักเซียวเหยานั้นเป็นกองกำลังใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลง จะเรียกว่ามีอิทธพลก็ไม่เกินไป มาตรฐานต่ำที่สุดของศิษย์นอกสำนัก ก็คือแดนชี่ไห่ แต่ผลการฝึกตนห้ามเกินอายุ18ปี
จากข่าวลือ ถ้าอยากเป็นศิษย์ในสำนักของสำนักเซียวเหยาจริงๆ จะต้องมีระดับแดนพรสวรรค์ก่อน อายุห้ามเกิน25 พลังเทียบได้กับผู้อาวุโสทั้งหลายของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน!
ส่วนเหนือกว่าศิษย์ในสำนัก ก็ยังมีศิษย์ใจกลาง พลังก็ยิ่งสูงขึ้นไป
เมื่อเทียบกับสำนักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลง สำนักเซียวเหยาถือว่าเป็นแดนสวรรค์ของวิชายุทธ์ ศิษย์นอกสำนักก็สามารถเลือกวิชายุทธ์ระดับ4มาฝึกฝนได้แล้ว ส่วนศิษย์ใจกลาง ก็ได้ฝึกวิชายุทธ์ระดับ7ในตำนาน!
วรยุทธสุดยอดในเมืองชิงหยุน อย่างมากก็แค่ขั้น4 ขั้น7นั้น สำหรับนักเรียนของสำนักยุทธ์อย่างหลัวซิวแล้วนั้น มันเป็นยิ่งกว่าตำนานเสียอีก
การได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักเซียวเหยา จริงๆ แล้วก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งของหลัวซิวเหมือนกัน ปีนี้เขาอายุ14 ก็สามารถฝึกจนได้การกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงระดับจอมยุทธ์ชี่ไห่ จากนั้นก็สามารถเข้าร่วมการสอบเข้าเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักเซียวเหยาได้
“ตุบ!”
เงาคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนเวที หลัวซิวมองไป ก็เห็นคู่ต่อสู้ของตนเอง ยอดฝีมืออันดับ4บนศิลาอันดับฝีมือ จ้าวฉีชวง
“หลัวซิว เจอกับตนเอง มึงไม่ได้เข้ารอบแล้วล่ะ วิชาหมัดและวิชาท่าร่างที่มึงภาคภูมิใจ ไม่มีโอกาสทำอะไรได้เมื่ออยู่ภายใต้วิชาดาบเจ็ดดาวของกู”
จ้าวฉีชวงยืนอย่างมั่นใจ ท่าทางมองเยาะเย้ย แล้วยิ้มพูดว่า “ได้ยินว่ามึงฝึกวิชากระบี่ฟ้าแลบ กล้าชักกระบี่ออกมาประลองกันหรือเปล่า”
แต่ละคำพูดล้วนเป็นการดูถูก แต่จริงๆ แล้วจ้าวฉีชวงก็ยังกลัวๆ วิชาหมัดและวิชาท่าร่างของหลัวซิวอยู่เหมือนกัน แต่เขามั่นใจว่าภายใน2เดือน หลัวซิวไม่มีทางฝึกวิชากระบี่ได้ล้ำลึกหรอก
ดังนั้นเขาก็เลยพูดท้าทาย ให้หลัวซิวใช้วิชากระบี่ แบบนี้ตนเองก็จะเอาชนะได้ง่ายขึ้น
“อยากให้ผมใช้วิชากระบี่จริงๆ งั้นหรือ?” มุมปากของหลัวซิวเผยรอยยิ้มหลอกล่อออกมา
“แน่นอน แต่ถ้ามึงคิดว่าวิชากระบี่ของมึงมันน่าอายล่ะก็ แบกมันไว้เป็นเครื่องประดับก็ได้” จ้าวฉีชวงยิ้มพูดตาหยี
ด้วยความฉลาดของหลัวซิว มีหรือจะมองความคิดของจ้าวฉีชวงไม่ออก? แต่ว่าเขาขี้เกียจจะไปสนใจความอวดฉลาดของฝั่งตรงข้ามมากกว่า
“อยากให้ผมชักกระบี่ งั้นก็ต้องดูกันก่อนว่าพี่มีความสามารถขนาดนั้นหรือเปล่า” หลัวซิวยิ้มพูด
จ้าวฉีชวงยิ้มแห้ง สีหน้านิ่งพูดว่า “มึงนี่บ้าดีว่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นกูก็จะทำให้มึงไม่มีแม้แต่โอกาสจะชักกระบี่เลยแล้วกัน!”
ก้าวขาออก จ้าวฉีชวงมือซ้ายถือดาบ มือขวาจับด้ามดาบ ตาเป็นประกายมองไป แล้วชักดาบออก รังสีดาบสาดไปสี่ทิศ
“วิชาชักดาบ!”
นี่คือวิชาดาบพื้นฐานที่สุด แต่มีพลังทำลายล้างสูง เน้นรวบรวมกำลังแล้วปล่อยไป โจมตีครั้งเดียวกะเอาชีวิต ช่วงที่ชักดาบออกมานั้น พลังจะรุนแรงที่สุด
ดาบนี้เร็วมาก ภายใต้ปราณในที่ส่งเสริม บนดาบก็มีเงาสะท้อนออกมา เป็นความกดดันอย่างหนึ่งที่โจมตีเข้ามา
หลัวซิวก็ยังคงนิ่งๆ ไม่กลัวอะไร ขยับตัวหลบไปข้างเล็กน้อย รังสีดาบก็ฟันผ่านหนังหัวเขาไป แต่ไม่ได้ทำอันตรายอะไรเลย
“สึบ!”
ด้านล่างเวทีมีเสียงลุ้นดังขึ้น ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะอวดเก่งแบบนี้ เผชิญกับดาบที่ฟันลงมารุนแรงแบบนี้ ก็ยังกล้าที่จะหลบหลีกแบบนี้
“วิชาท่าร่างร้ายไม่เบา ถึงแม้จะเป็นวิชาท่าร่างระดับ2 แต่ใช้ทักษะที่หลบหลีกในระยะมิลลิเมตร ต่อให้เป็นวิชาท่าร่างระดับ3ก็เทียบไม่ได้” มีคนพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เหอะ มึงคิดว่าหลบแบบนี้แล้วจะพ้นงั้นหรือ?” มุมปากของจ้าวฉีชวงเผยรอยยิ้มเย็นออกมา รังสีดาบฟันเป็นแนวนอน ราวกับเจ็ดดาวผสานกัน อากาศที่บีบอัด เกิดเป็นเสียงฟิ้วๆๆ
เห็นบนเวทีมีแสงดาบวูบวาบไปมา หลัวซิวก็ใช้วิชาท่าร่างหลบหลีกไป โดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้
“อืม จ้าวฉีชวงคนนี้ก็ไม่เลว วิชาดาบเจ็ดดาวก็สำเร็จเล็กน้อย” บนห้องใต้หลังคา มีผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดหยักหน้าอย่างชื่นชม
“วิชาตัดน้ำเจ็ดดาว!”
บนเวทีประลองยุทธ์ จ้าวฉีชวงส่งเสียงออกมา แล้วก็รวบรวมปราณในไว้ที่ดาบ รวบรวมพลังทำลายล้างของวิชาดาบเจ็ดดาวให้สูงที่สุด
นี่คือกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แค่ระดับสำเร็จเล็กน้อย เขาก็มั่นใจว่าหลัวซิวไม่มีทางหลบได้แน่
ดาบนั้นไร้ตา พอไม่อาจหลบดาบนี้ได้ ไม่ตายก็เจ็บหนัก
แต่สีหน้าของหลัวซิวก็ยังนิ่งเฉย ช่วงเวลาที่ฝึกฝนในเขาปาฉี ผ่านการเข่นฆ่าเอาชีวิตมานับไม่ถ้วน ได้ฝึกกับความรู้สึกในจิตใจไปแล้ว
“ฟุบ!”
เคลื่อนเท้าไปแนวนอน ก็ยังคงเป็นเคลื่อนไหวเบาๆ ดาบยาวที่เงาวับก็ฟันผ่านหน้าอกของเขาลงไป
“นี่มัน……หลบได้งั้นหรือ?” ดาบที่ฟันสุดแรง โจมตีไม่ถูก ทำให้จ้าวฉีชวงรู้สึกเหมือนต่อยอากาศ
“ท่ามังกรทะยาน!”
ในตอนนั้นเอง มีเสียงดังเข้ามาในหู จ้าวฉีชวงรู้สึกเจ็บหน้าอก ร่างก็กระเด็นออกไปทันที จนเกือบจะตกเวทีลงไป
เขาพลิกตัวลุกขึ้นมา ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็เต็มไปด้วยความอึ้งและไม่อยากจะเชื่อ
เดิมทีนั้นคิดว่าจะสามารถจัดการตนเองซิวได้ แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าวิชาท่าร่างของหมอนี่จะร้ายกาจขนาดนี้ ถึงขนาดอยู่ในจุดที่ไม่แพ้ใคร
“วิชาท่าร่างสุดยอดมาก!”
“ไม่ใช่แค่วิชาท่าร่างสุดยอด แต่หลัวซิวไม่เสียสมาธิตอนคับขัน สงบ นิ่ง อยู่ในจุดที่ไม่แพ้ใครแล้ว!”
“นอกเสียจากจะมีคนใช้วิชายุทธ์ระดับ3ที่ฝึกจนถึงระดับแดนบรรลุผล ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรหลัวซิวไม่ได้เลย”
ด้านล่างเวทีส่งเสียงลุ้นไม่ขาดสาย เล่นเอาใบหน้าที่บึ้งทึงของจ้าวฉีชวงแทบจะเหงื่อตก
“กูไม่เชื่อว่ามึงยังจะหลบได้ เมื่อครู่นี้มึงต้องโชคช่วยแน่ๆ ……”
จ้าวฉีชวงตะโกนออกมา แล้วก็ร่ายกระบวนท่าวิชาดาบเจ็ดดาวอีกครั้ง แล้วบุกไปยังตัวของหลัวซิวอย่างบ้าคลั่ง
หลัวซิวก็ไร้สีหน้า และได้เห็นว่าจิตใจของจ้าวฉีชวงได้เสียสมดุลไปแล้ว ตอนที่ผู้ฝึกยุทธ์กำลังต่อสู้กันนั้น จิตใจนั้นสำคัญมาก ถ้าเสียสมดุลก็เผยจุดอ่อนออกมา
ฝีเท้าเคลื่อนไหว หลัวซิวหลบได้3กระบวนท่า แล้วก็จับจุดอ่อนของจ้าวฉีชวงได้
“ฟุบ!”
ซัดกระบวนท่าเสือพิฆาตออกไป โจมตีถูกหัวไหล่ของจ้าวฉีชวง ทำให้เขาตัวสั่น แล้วถอยไปหลายก้าว
เนื่องจากเป็นการประลองอยุทธ์ ไม่ใช่การสู้เอาชีวิต ดังนั้นหลัวซิวก็ไม่ได้ลงมือมากเกินไป
“ฮ่าๆ ปรานในมึงอ่อนไป มีแรงแค่นี้หรือไง? ไปตายเสียเถอะ ไปตายเสีย!”
จ้าวฉีชวงเหมือนจะบ้าไปแล้ว จนไม่ได้ป้องกันตัวเองเลย เอาแต่สู้ไม่ปัดป้อง
หลัวซิวก็หลุดยิ้มออกมา ตัวเองออมมือให้แท้ๆ ไอ้หมอนี่มันกลับคิดตัวเองมีปรานในอ่อนแอ แล้วทำอะไรมันไม่ได้
โลกนี้มีพวกไม่รักดี และได้คืบเอาศอกแบบนี้อยู่ด้วยหรือ…….
หลัวซิวส่ายหัว รู้สึกว่าจิตใจตนเองนั้นดีเกินไปแล้ว
บนห้องใต้หลังคา มีผู้อาวุโสคนหนึ่งจับจ้องการประลองอยู่ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “หลัวซิวคนนี้อายุแค่14เท่านั้นเอง ทักษะการต่อสู้ทำไมถึงได้เก่งกาจแบบนี้ ราวกับเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วนับร้อยครั้ง จิตใจก็มั่นคง แบบนี้เป็นต้นกล้าที่ดี ผมจะรับมันไว้เป็นศิษย์!”
“เหอะ ผู้อาวุโสหลี่จะรับศิษย์ เขาอาจจะไม่ยินยอมก็ได้ หลัวซิวไม่มีใครชี้แนะ ทั้งยังเกิดในครอบครัวที่ยากลำบาก วิชาหมัดและวิชาท่าร่างขั้นสองก็ยังฝึกจนบรรลุผล ก้าวเข้าสู่ที่สุดของที่สุดของแดนบริบูรณ์ไปแล้ว คุณทำได้ไหมล่ะ?”
########################