บทที่ 93 แผนการในใจของลู่เฟยเฉิน
“หลัวซิว ดูท่าแล้วเจ้ายังพอมีโอกาส” จวงหนานเทียนเหลือบมองหลัวซิวแล้วเอ่ยอย่างยกย่อง
เมื่อเจ้าสำนักชิงหยุนกลับมาตั้งสติได้สีหน้าของเขาก็กระดากกระเดื่อง เพราะเมื่อครู่นี้เขาเกิดความคิดอยากจะกำจัดหลัวซิวเพื่อแย่งวิชายุทธ์ระดับ 6
เขารู้สึกละอายที่ตัวเองมีความคิดแบบนั้น และที่เขามีความคิดแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าเขามีความต้องการหลุดพ้นจากแดนฝึกจิตรุนแรงมากเกินไป ด้วยปณิธานทางโลกยุทธ์ของตนเกือบทำให้เขาไม่สามารถรักษาตัวตนเดิมของตัวเองเอาไว้ได้
เมื่อสัมผัสได้ว่าความกดดันราวเข็มทิ่มแทงได้สลายไปแล้ว ความรู้สึกในใจของหลัวซิวก็เริ่มปลอดโปร่ง
หลัวซิวพลิกฝ่ามือก่อนจะหยิบคัมภีร์วิชายุทธ์ออกมาจากกล่องเครื่องประดับ สายตาของจวงหนานเทียนและเจ้าสำนักชิงหยุนจึงเบนไปรวมอยู่ที่เดียวกันอย่างไม่อาจละสายตาได้
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้าแล้ววางคัมภีร์วิชายุทธ์ลงตรงหน้าคนทั้งสอง จากนั้นจึงก้มตัวคำนับอย่างนอบน้อม “น้ำใจของผู้อาวุโสทั้งสองที่มีต่อผม ผู้น้อยไม่มีอะไรจะตอบแทน จึงขอมอบวรยุทธ์นี้ให้ผู้อาวุโสทั้งสอง”
ด้านบนซองหนังของคัมภีร์วิชายุทธ์ มีตัวอักษรใหญ่สี่ตัวเขียนเอาไว้ว่า พลังแท้แสงส่อง
นี่คือกำลังภายในสาขาหนึ่ง แม้จะนับว่าเป็นของขั้นทั่วไปในระดับ 6 แต่สำหรับคนที่ยังฝึกไม่ถึงขั้นแดนฝึกจิตแล้ว นี่ถือเป็นของที่มีคุณค่าสูงมาก
เพราะความลึกลับของการบรรลุการฝึกจิต มีเพียงวิชายุทธ์ระดับ 6 เท่านั้นถึงจะจดบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด แต่หากไม่มีวิชายุทธ์ระดับ 6 ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางบรรลุแดนฝึกจิตได้ แต่คนที่ทำได้มีน้อยมากจนแทบหาไม่ได้
การมอบวิชายุทธ์ระดับ 6 ให้เช่นนี้ หลัวซิวได้คิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว
ข้อแรกก็เพราะต้องการปลอบใจผู้อาวุโสทั้งสอง ส่วนอีกข้อหนึ่งเป็นเพราะว่าทั้งสองคนนี้ปฏิบัติต่อเขาไม่เลวนัก นอกจากจะไม่จับตัวเขาไปขอความดีความชอบแล้วยังช่วยเขาคิดหาทางออกเพื่อแก้วิกฤติที่เขากำลังเผชิญ สำหรับหลัวซิวแล้ว นี่ถือเป็นบุญคุณครั้งยิ่งใหญ่
“หลัวซิว คือ……” ชั่วขณะนั้นจวงหนานเทียนและเจ้าสำนักชิงหยุนไร้วาจาจะกล่าว
พวกเขาต้องการวิชายุทธ์ระดับ 6 มาก แต่ด้วยเมื่อครู่ได้กล่าวออกไปเพื่อปกป้องตัวเองและไม่ยอมยื่นมือช่วยหลัวซิว ตอนนี้จึงรู้สึกละอายใจขึ้นมา
“ผู้อาวุโสทั้งสองอย่าปฏิเสธเลย นี่คือน้ำใจของผู้น้อย สามารถเชิญท่านหัวหน้าแก๊งยื่นมือมาช่วยเหลือได้ ข้าจะขอสำนึกในบุญคุณนี้ไม่มีที่สิ้นสุด” หลัวซิวกล่าวอย่างจริงใจ
คำพูดนี้ของหลัวซิวกระตุกความจำของจวงหนานเทียนขึ้นมา เขาจึงรีบเอ่ยว่า “ข้าจะรีบตอบกลับหัวหน้าแก๊งเดี๋ยวนี้เลย”
ในมือของจวงหนานเทียนมีกล่องสีเขียวใบหนึ่งที่ติดตั้งค่ายกลเอาไว้ สามารถบันทึกข่าวสารลงไปแล้วส่งออกได้
ไม่นานนัก กล่องค่ายกลก็ส่องแสงสว่างวาบออกมา จวงหนานเทียนมองไปทางหลัวซิวแล้วกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าแก๊งกำลังจะมา”
……
เมืองหยุนหลง นอกสำนักเซียวเหยา
ลู่เฟยเฉินยืนไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลังอยู่บนหอแห่งหนึ่ง โดยมองข้ามกลุ่มลูกศิษย์นอกสำนักที่กำลังฝึกฝนวิชายุทธ์กันอยู่
ในตอนนั้นเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหยิบกล่องสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกล่องเครื่องประดับที่กำลังเปล่งแสงอ่อนๆ ออกมา
กล่องเล็กกล่องนี้ดูไม่เตะตาสักเท่าไหร่ แต่อันที่จริงเป็นค่ายกลขั้น 3 ล้ำค่า สามารถส่งข่าวสารระยะทางไกลได้ โดยมีชื่อว่ากล่องส่งเสียง
“หลัวซิวปรากฏตัวแล้ว ตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่แก๊งนักล่าอสูร”
เสียงนี้ดังผ่านกล่องค่ายกลล้ำค่าออกมาเข้าสู่หูของลู่เฟยเฉิน
ลู่เฟยเฉินขมวดคิ้วและรีบส่งข่าวสารตอบกลับไป ก่อนจะปิดกล่องส่งเสียงลง
“หลัวซิว พรสวรรค์ที่ติดตัวมาของเจ้า หากไม่ใช่เพราะการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ในอนาคตเจ้าจะต้องกลายเป็นมือขวาของข้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถอดทนรอได้นานเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องสังเวยชีวิตของเจ้า”
ลู่เฟยเฉินกล่าวเบาๆ กับตัวเอง ลมเบาๆ พัดโชยมาทำให้ชุดขาวของเขาสะบัดพลิ้วไหวขึ้น
ในขณะนั้น ลูกศิษย์นอกสำนักผู้หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเขาแล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าพบกล่องเครื่องประดับนี้ในห้องของหลัวซิว”
ลู่เฟยเฉินหันกลับไปมอง เมื่อเห็นกล่องเครื่องประดับนั้นจึงนึกออกว่านั่นคือของที่เขาให้หลัวซิวเอาไว้เอง
เขารับกล่องเครื่องประดับนั้นแล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “หากตอนนั้นเจ้าเอาของที่อยู่ในกล่องนี้ติดตัวออกนอกสำนักเซียวเหยาไปซะ มีหรือที่เจ้าจะมีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้”
“คนหนุ่มสาวไม่ควรโลภมากเกินไป เจ้าว่าใช่หรือไม่” ลู่เฟยเฉินเอ่ยพลางหันไปมองลูกศิษย์นอกสำนักผู้นี้
“เจ้าสำนัก กล่าวถูกแล้ว” ลูกศิษย์นอกสำนักผู้นี้กล่าวอย่างนอบน้อม
ลู่เฟยเฉินยิ้ม จากนั้นจึงเดินลงจากหอและไปถึงห้องของลู่เมิ่งเหยาภายในเวลาไม่นานนัก
เคาะประตูไปได้สองสามทีก่อนประตูจะเปิดออกอย่างรวดเร็ว สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่พ่อพูดกับเธอทำให้เธอต้องทุกข์ใจเช่นนี้
เธอไม่สามารถทิ้งพ่อได้ แต่ก็ไม่อาจทิ้งหลัวซิวได้เช่นกัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกหนทางไหน
ลู่เมิ่งเหยาอยากถามพ่อของตัวเองว่า ไม่มีหนทางที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายเชียวหรือ
แต่เธอยังไม่ทันจะได้ถาม ลู่เฟยเฉินกลับเอ่ยปากออกมาก่อน “หลัวซิวไปแล้ว”
“อะไรนะคะ” ลู่เมิ่งเหยาชะงัก ก่อนที่จะหันไปจ้องพ่อของตัวเองในทันที “พ่อคะ พ่อพูดอะไรกับเขาไปรึเปล่า”
“พ่อไม่ได้พูดอะไร พ่อก็แค่ให้เขาตัดสินใจเลือก” ลู่เฟยเฉินตอบ
“เลือก? เลือกอะไรคะ” ลู่เมิ่งเหยาเค้นถามต่อ
“ทางเลือกแรกคือให้เขานำของล้ำค่าอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยให้เขาฝึกตนบรรลุเข้าสู่แดนพรสวรรค์ได้ กับอีกทางเลือกคือให้เขาอยู่ที่นี่กับเจ้า”
ลู่เฟยเฉินเอ่ยช้าๆ “หากเขาเลือกอยู่กับเจ้า แสดงว่าเขามีความจริงใจต่อเจ้าจริงๆ หากเขาเลือกเช่นนั้น พ่อไม่มีทางขัดขวางลูกกับเขา”
“น่าเสียดาย การตัดสินใจของเขาทำให้พ่อต้องผิดหวัง แต่พ่อก็จำเป็นต้องบอกลูกว่าแม้ว่าหลัวซิวจะเป็นคนที่รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของลูกจนหาย หรือแสดงตัวว่าชอบลูกก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็แค่ทำเพื่อเป้าหมายของตัวเองเท่านั้น”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้……” ลู่เมิ่งเหยาได้ยินเช่นนี้ เธอก็รู้สึกราวกับจิตวิญญาณของเธอหลุดออกจากร่างและทรุดลงไปนั่งบนพื้น
“เมิ่งเหยา ตื่นได้แล้ว สุดท้ายแล้วเขาก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่ใช่ความรู้สึกที่มีต่อลูก แต่เป็นเพราะลูกสาวของพ่อสามารถนำพาผลประโยชน์ให้เขาได้มากมาย”
“เขาหลอกลูก หลอกความรู้สึกที่เขามีต่อลูก” ลู่เฟยเฉินกล่าวช้าๆ ออกมาทีละคำ
“ไม่! หนูไม่เชื่อ หนูจะต้องไปหาเขา” ลู่เมิ่งเหยายากจะเชื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้
“ตั้งแต่เล็กยันโต พ่อรักลูกที่สุด พ่อจะหลอกลูกได้อย่างไร เขาเอาของล้ำค่าที่สามารถทำให้เขาบรรลุขึ้นสู่แดนพรสวรรค์ได้ไปแล้ว”
ลู่เมิ่งเหยาได้ยินแบบนี้ก็ร้องไห้ น้ำตาไหลทะลักล้นออกมาไม่หยุด ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อคือคนที่รักเธอมากที่สุด เธอเชื่อว่าพ่อไม่มีทางหลอกเธอได้
แต่หลัวซิวเข้ามาใกล้ชิดเธอเพียงเพื่อผลประโยชน์เท่านั้นหรือ
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าโศกเสียใจของลูกสาว ลู่เฟยเฉินก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน แต่เขาไร้หนทางอื่น เพราะศึกแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักครั้งนี้ เกี่ยวพันไปถึงว่าเขาจะสามารถเป็นราชันย์ยุทธ์ได้หรือไม่
ผู้อาวุโสขงชิงหยู ผู้เป็นอาจารย์ของเขาได้ให้คำมั่นเอาไว้แล้วว่า หากเขาได้ตำแหน่งเจ้าสำนักเมื่อไหร่ ในฐานะของลูกศิษย์เจ้าสำนัก เขาจะมีคุณสมบัติเพียงพอในการฝึกฝนจนบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 7 และดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระจร
แดนแห่งราชายุทธ์ คือสิ่งที่ลู่เฟยเฉินถวิลหามาตลอด แม้ว่าเขาต้องหลอกใช้ลูกสาวของตัวเอง สังเวยชีวิตผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยอย่างหลัวซิว เขาก็ไม่รู้สึกผิด
“ขอแค่หลัวซิวตายไปอย่างไร้หลักฐาน ถึงตอนนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้ก็จะถูกปิดปาก ขอเพียงเมิ่งเหยาเชื่อว่าหลัวซิวบรรลุไปแล้ว ลูกสาวของเขาจะไม่มีทางเกลียดเขา”
ท่านหัวหน้าแก๊งนักล่าอสูรเมืองชิงหยุน เป็นผู้อาวุโสไว้เคราขาว และสวมใส่ชุดสียาวดำหลวมสบาย
แม้จะดูว่าเขาอายุมากแล้วแต่นัยน์ตาส่องประกายสดใสดูมีบารมีน่าเกรงขามอย่างหนึ่ง
########################