บทที่ 92 คนต้องมีขอบเขต
ภายในห้อง
หลัวซิวถอดหมวกสานออกแล้วทำความเคารพ “คารวะท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสจวง”
เจ้าสำนักชิงหยุนมองไปทางหลัวซิวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าเด็กน้อย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เมื่อสามวันก่อนเซินกาวเจี้ยนมาที่เมืองชิงหยุน เขานำสาส์นจากนอกสำนักมาด้วย แล้วยึดอำนาจเจ้าสำนักยุทธ์ไปจากเรา จากนั้นจึงออกคำสั่งให้จับตัวพ่อแม่และพี่สาวของเจ้าเอาไว้……”
“สาส์นจากเจ้านอกสำนักลู่เฟยเฉินหรือ” หลัวซิวได้ยินถึงตรงนี้ในหัวของเขาพลันเหลือแต่ความว่างเปล่า
“จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก ลำพังแค่อำนาจของเจ้าสำนักลู่ก็สามารถจัดการเจ้าได้ตั้งแต่อยู่นอกสำนักเซียวเหยาแล้ว ใยต้องก่อเรื่องยุ่งยากแบบนี้ขึ้นด้วย” เจ้าสำนักชิงหยุนขมวดคิ้วพลางเอ่ย
หลัวซิวไม่ได้ตอบอะไร ในหัวของเขาตอนนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า
เขาสงสัยมาตลอดว่าคนที่อยากจะจัดการเขาคือจางหลู่เหลียง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ต้องการจัดการเขาจริงๆ กลับเป็นลู่เฟยเฉิน
เมื่อนึกถึงตอนที่ลู่เฟยเฉินมอบหีบสมบัติให้ตน แต่ให้เขาห่างจากลู่เมิ่งเหยา ตอนนั้นเขาปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
วันถัดมา เขาจึงได้รับปิ่นหยกหงสาของหลัวซิ่วเอ๋อร์พี่สาวของเขา
เมื่อเห็นหลัวซิวเงียบ เจ้าสำนักชิงหยุนและผู้อาวุโสจวงจึงสบตากันและเห็นความสงสัยออกมาจากดวงตาของอีกฝ่าย
มีเรื่องราวบางอย่างที่พวกเขายังไม่รู้เรื่องอีกแน่นอน
หลัวซิวกำลังครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้คือ การที่เซินกาวเจี้ยนถือสาส์นของลู่เฟยเฉินมา คนที่ต้องการจัดการเขาคือลู่เฟยเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สิ่งหนึ่งที่หลัวซิวยังไม่เข้าใจก็คือ ทำไมลู่เฟยเฉินต้องทำกับเขาแบบนี้ หรือว่าแค่ต้องการไม่ให้เขาไปตอแยลู่เมิ่งเหยา
ส่วนสาเหตุใดที่ลู่เฟยเฉินไม่ยอมลงมือที่นอกสำนักเซียวเหยา นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้ลู่เมิ่งเหยารู้อย่างแน่นอน
ปฏิบัติคล้ายเป็นผู้มีคุณธรรมสูง แต่หลัวซิวไม่คิดเลยว่าเจ้าสำนักลู่จะเป็นคนที่ร้ายกาจมากเช่นนี้
ในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ เขาจะต้องช่วยพ่อกับแม่ออกมาให้ได้ก่อน
หลัวซิวจึงเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางเจ้าสำนักชิงหยุนและผู้อาวุโสจวง “ผู้อาวุโสทั้งสองได้โปรดช่วยครอบครัวของผมด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าสำนักชิงหยุนจึงมีสีหน้าลำบากใจ เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “หลัวซิว เจ้าคือผู้มีพรสวรรค์ติดตัวมาของสำนักชิงหยุน เราเองก็อยากช่วยเจ้า แต่ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเซียวเหยาด้วย หากเราช่วยเจ้า เราคงไม่เหลือที่คุ้มกะลาหัวในเขตปกครองหยุนหลงแห่งนี้อีก”
“หากเราตัวคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เรายังมีเมียมีลูกที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองหยุนหลง เราหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
หลัวซิวไม่แปลกใจกับคำตอบของเจ้าสำนักชิงหยุน เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าสำนักชิงหยุนไม่ได้สนิทสนมมากเท่าไหร่ อีกทั้งยังเป็นเพราะตัวเขาเองที่ทำให้เขาถูกชิงอำนาจไป
อันที่จริงแล้วแค่เจ้าสำนักชิงหยุนไม่จับตัวเขาไปเพื่อขอความดีความชอบ ก็ถือว่ามีบุญคุณกับเขามากมายแล้ว
แต่ก่อนจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ หลัวซิวกลับรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา หากเจ้าสำนักชิงหยุนต้องการจะจับตัวเขาไปเพื่อขอความดีความชอบจริง การฝึกตนที่แข็งแกร่งของเขาด้วยการฝึกจิตเพียงครึ่งก้าว และมาที่นี่ไม่ต่างอะไรกับกระโดดเข้ามาติดกับดัก
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ หลัวซิวจึงหันไปทำความเคารพเจ้าสำนักชิงหยุนอย่างนอบน้อม
เจ้าสำนักชิงหยุนถอนหายใจและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
จวงหนานเทียนเอ่ยปากขึ้นว่า “แม้ว่าเราจะไม่ใช่คนของสำนักเซียวเหยา เพียงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสของสำนักชิงหยุน แต่พลังของเราคงจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
จวงหนานเทียนส่ายหน้า “แต่แม้ว่าเรากับเจ้าสำนักจะช่วยเจ้าไม่ได้ แต่มีคนที่สามารถช่วยเจ้าได้”
“ใครหรือ” หลัวซิวถามออกมา
“ผู้แข็งแกร่งของแก็งนักล่าอสูรไงล่ะ” จวงหนานเทียนตอบ “ผู้แข็งแกร่งของนักล่าอสูรนั้นมีมากมาย นักล่าอสูรอย่างเจ้าแม้ว่าจะไม่ใช่สมาชิกโดยตรงของแก๊งนักล่าอสูร แต่ขอเพียงเจ้าสามารถตอบแทนให้เขาได้อย่างคุ้มค่า เจ้าจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่งของแก๊งนักล่าอสูรได้แน่”
“เรื่องราวที่เจ้าประสบอยู่ในตอนนี้ ขอเพียงเชิญปรมาจารย์โลกยุทธ์สักท่านออกแรงช่วยได้ จะต้องช่วยครอบครัวของเจ้าออกมาได้อย่างแน่นอน แต่แน่นอนล่ะว่าเจ้าก็ต้องตอบแทนให้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อด้วย”
อันที่จริงแล้วจวงหนานเทียนก็รู้อยู่แก่ใจว่าวิธีที่เขาเสนอออกไปนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหลัวซิว
เพราะเขาเป็นแค่จอมยุทธ์ของแดนฝึกซี่ไห่คนหนึ่ง จะมีอะไรไปตอบแทนปรมาจารย์ให้สนใจยื่นมือมาช่วยได้
“ผู้อาวุโสจวงโปรดชี้แนะ ข้าควรทำอย่างไรให้ผู้แข็งแกร่งของแก๊งนักล่าอสูรยอมช่วยเหลือข้า”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของจวงหนานเทียนคือ หลัวซิวไม่ได้ถามถึงเรื่องการตอบแทน แต่เอ่ยปากถามคำถามนี้ออกมาโดยตรง
จวงหนานเทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับหลัวซิว เพราะเขารู้ว่าหลัวซิวเดินมาถึงทางตันแล้ว ส่วนคำพูดของเขากับเจ้าสำนักชิงหยุนไร้น้ำหนักจึงไม่สามารถออกหน้าช่วยเหลือเขาได้
“เราจะนำเรื่องของเจ้ารายงานต่อเบื้องบน หากมีปรมาจารย์โลกยุทธ์ท่านใดยอมรับภารกิจนี้ก็คงจะยื่นข้อเสนอมา จากนั้นขอเพียงเจ้าทำตามข้อเสนอของเขาได้ เจ้าก็จะได้รับการช่วยเหลือจากอีกฝ่าย” จวงหนานเทียนกล่าว
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสจวงด้วย” หลัวซิวกล่าวตอบ
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณเรา นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ไม่นานนัก จวงหนานเทียนก็นำข่าวสารนี้ส่งออกไปผ่านทางช่องทางค่ายกลพิเศษ
และอีกไม่นานนักก็ได้รับการตอบรับกลับมา
เมื่อจวงหนานเทียนเห็นข่าวที่ตอบกลับมาสีหน้าของเขาก็แปลกประหลาดไป
เขาเหลือบมองหลัวซิวก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านหัวหน้าแก๊งได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว และบอกว่าหากเจ้าสามารถหาวิชายุทธ์ระดับ 6 มาได้ ท่านหัวหน้าแก๊งจะยินดีช่วยเจ้า โดยมีข้อแม้ว่าวิชายุทธ์ระดับ 6 นี้ ต้องเป็นกำลังภายในระดับกลางหรือมีทักษะยุทธ์วิชาท่าร่างระดับสูงเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนี้สีหน้าของหลัวซิวจึงปรากฏความยินดี แน่นอนว่าเขารู้จักหัวหน้าแก็งที่จวงหนานเทียนกำลังพูดถึง หัวหน้าแก๊งสาขาที่เมืองชิงหยุนของแก๊งนักล่าอสูร ได้ยินมาว่าเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง
หลัวซิวจึงตอบออกไปอย่างไร้ความกังวล “ผมยอมรับข้อเสนอของหัวหน้าแก๊งครับ”
ได้ยินคำตอบดังนั้น ไม่ใช่แค่จวงหนานเทียนเท่านั้น แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนเองก็เบิกตากว้างมองไปทางหลัวซิว
“ท่านหัวหน้าแก๊งเป็นถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หากเจ้าไม่สามารถทำตามข้อเสนอของเขาได้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงช่วยเจ้าไม่ไหว”
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่คิดว่าหลัวซิวจะสามารถหาของระดับนั้นมาตอบแทนได้
เพราะวิชายุทธ์ระดับ 6 ถือเป็นของถ่ายทอดสำคัญ แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนเองยังเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับฝึกจิตครึ่ง ดังนั้นจึงฝึกวิชายุทธ์ได้เพียงระดับ 5 ขั้นสูงเท่านั้น
ในหอเซียวเหยาที่นอกสำนักเซียวเหยา แม้ว่าจะมีวิชายุทธ์มากมาย แต่ส่วนมากเป็นวิชายุทธ์ระดับ 5 ขั้นต่ำเท่านั้น น้อยนักที่จะมีระดับ 5 ขั้นกลาง ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 6 แม้ว่าจะมี แต่ก็มีเพียงศิษย์ที่อยู่ในสำนักเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งของแดนฝึกจิตแล้วเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการฝึกฝน
ข้อเสนอที่ยากเช่นนี้ แม้ว่าจะระบุเอาไว้ชัดเจน แต่ศิษย์นอกสำนักหลายคนก็ทำได้แต่หวังอยู่ในใจเท่านั้น
ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 7 นั้นจะสืบทอดจากศูนย์กลาง มีเพียงสายเลือดของเจ้าสำนักเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติในการฝึกฝน
ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกจิตจะต้องใช้วิชายุทธ์ระดับ 6 ในการสร้างผู้สืบทอดในโลกยุทธ์จากรุ่นสู่รุ่น
หลัวซิวเข้าใจหลักการที่จะต้องสืบทอดกันแต่ภายใน แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางให้ถอยอีกแล้วจึงได้แต่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ผมมี รบกวนท่านผู้อาวุโสจวงช่วยตอบกลับท่านหัวหน้าแก๊งด้วยครับ”
เมื่อคำพูดเช่นนี้หลุดออกไป แววตาของเจ้าสำนักชิงหยุนก็เป็นประกาย เขาติดอยู่ในระดับฝึกจิตครึ่งมาเป็นเวลานานแล้ว หากได้วิชายุทธ์ระดับ 6 มาช่วยมีความเป็นไปได้ที่เขาจะมีโอกาสหลุดจากระดับฝึกจิตครึ่ง และสามารถเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์ได้
แม้ว่าหลัวซิวจะไม่ได้สังเกต แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่มีพลังร้อนแรงของผู้อาวุโสจวงและเจ้าสำนักชิงหยุน
ตอนนี้เขาได้แต่พนันอยู่ในใจว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้จะไม่ทรยศเขา
ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้จับตนเอาไปขอความดีความชอบ ก็พอจะเห็นได้ว่าพวกเขายังพอมีน้ำใจกับตนอยู่บ้าง
########################