บทที่ 97 ช่วยครอบครัวของผม
เกราะนักยุทธ์ชั้นเดียวกันมีมูลค่ามากกว่านักยุทธ์ แน่นอนว่าเหล่าองครักษ์เกราะเขียวเหล่านี้ไม่มีทางครอบครอง เกราะเขียวที่สวมอยู่เป็นเพียงเกราะธรรมดาเท่านั้น
หลัวซิวยังคงมุ่งหน้าต่อไป ทุกอณูของชุดดำที่สวมใส่เต็มไปด้วยเลือดสด พื้นด้านหลังที่เขาเดินจากมาเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณแขนขาขาด
ในบรรดาองครักษ์เกราะเขียวทัพนี้เหลือเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิต นั่นคือสวี่ชิวเซิง เนื่องจากเขาไม่โจมตีหลัวซิว เพียงยืนเหม่อลอยอยู่ท่ามกลางสายธารเลือดและร่างไร้วิญญาณราวกับจิตวิญญาณหลุดลอยไปไกล
องครักษ์เกราะเขียวทั้งสองทัพรวมทั้งสิ้น 60 กว่านายถูกฆ่าตายทั้งหมด เหตุการณ์เช่นนี้เมื่อเกิดในเมืองชิงหยุนถือเป็นความโกลาหลอย่างมาก
องครักษ์เกราะเขียวในเมืองชิงหยุนมีทั้งหมดสามทัพ รวมจำนวนกว่าร้อยนาย
เมื่อหลัวซิวมาถึงหน้าประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์ องครักษ์เกราะเขียวทัพที่สามจึงปรากฏออกมา
คนที่อยู่หน้าสุดคือ กวนหยุนเจิ้น ผู้นำทัพขององครักษ์เกราะเขียว นับเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในแดนชี่ไห่ขั้น 9
องครักษ์เกราะเขียวที่อยู่ภายใต้การนำทัพของเขามานี้ ถือเป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุดทัพหนึ่ง อย่างน้อยๆ ต้องเป็นถึงชี่ไห่ขั้น 4 และมีชี่ไห่ขั้น 7 อยู่ถึงสามคน
ทัพองครักษ์เกราะเขียวทั้งสองกองทัพที่หลัวซิวปลิดชีวิตไปเรียบก่อนหน้านั้นรวมกัน มีความแข็งแกร่งเทียบไม่ได้กับทัพของผู้นำทัพกวนหยุนเจิ้น ผู้นี้
ประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์ถูกเปิดออก หลัวซิวจึงมองเห็นพ่อแม่และพี่สาวของตน มีองครักษ์เกราะเขียวสามนายยืนถือมีดจ่อคอพวกเขาอยู่
“เปรี้ยง!”
ปราณแท้สีดำสนิทหมุนวนอยู่รอบตัวของหลัวซิวราวเปลวเพลิง ความอาฆาตเย็นเยียบน่าหวาดหวั่นแผ่ปกคลุมไปทั่ว ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับปีศาจที่ขึ้นมาจากขุมนรก
เย่เซี่ยงโต่วเหลือบมองหลัวซิวคราหนึ่ง จากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น ตามที่เขารู้มาสิ่งที่หลัวซิวเคยฝึกคือพลังหยางบริสุทธิ์อันแข็งแกร่ง ทำไมปราณแท้ของเขาถึงให้ความรู้สึกมืดหม่นเช่นนี้ได้?
ไม่เพียงเท่านั้น พลังของเปลวไฟสีดำรอบตัวเขา ยังมีพลังคล้ายกับธาตุไฟอยู่ด้วย
ในระหว่างที่เย่เซี่ยวโต่วกำลังเกิดความสงสัยอยู่นั้น หลัวซิวจึงหันกลับไปมองเขาแล้วค้อมตัวลง “ผู้อาวุโสได้โปรดช่วยครอบครัวของข้าด้วยเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เซี่ยงโต่วจึงได้สติและกล่าวออกมาเพียงคำเดียวว่า “ได้!”
สิ้นเสียง ร่างของเขาพลันหายวับไปกับตาแล้วไปโผล่อีกทีอยู่ข้างๆ ครอบครัวของหลัวซิวแล้ว ส่วนองครักษ์เกราะเขียวทั้งสามคนนั้นพลันล้มลงบนพื้นและขาดใจตายในทันที
“ใครน่ะ”
สีหน้าของกวนหยุนเจิ้นเปลี่ยนไป ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างไม่มีใครสังเกตเห็นผู้อาวุโสเคราขาวคนนี้ว่าลงมืออย่างไร น่ากลัวว่าเขาจะต้องเป็นผู้ที่อยู่บนแดนพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ หลัวซิวเชิญเขามาช่วยได้อย่างไร
และในตอนนี้หลัวซิวยังคงชูกระบี่แล้วมุ่งหน้าเข้ามาเรื่อยๆ
เย่เซี่ยงโต่วเพียงช่วยครอบครัวของเขาเท่านั้น ดังนั้นจึงจะไม่ออกแรงโจมตีคนอื่น เว้นเสียแต่จะมีคนคุกคามเอาชีวิตของหลัวซิวเท่านั้น
คนพวกนี้จับครอบครัวของเขาไป แถมยังเอาชีวิตพวกเขาเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ตนอีก หากฆ่ากวาดล้างคนพวกนี้ไม่ได้ หลัวซิวคงอกแตกตายเพราะความแค้นที่อัดอั้นในใจอย่างแน่นอน
รวมถึงยังมีเปลวเพลิงดำทะมึนแห่งความอาฆาตที่โอบล้อมอยู่รอบกระบี่เงามืด หลัวซิวจึงก้าวเข้ามาพร้อมที่จะลงมืออย่างไม่ออมแรงและไร้ความปรานี
ในจุดตันเถียนแดนฝึกชี่ไห่ การเวียนว่ายตายเกิดของเทพผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนรวดเร็ว ปราณแท้เป็นตาย 2 ระดับแปรเปลี่ยนกลายเป็นปราณแท้เปลวเพลิงดำทะมึน
ทว่าองครักษ์เกราะเขียวชุดนี้ไม่สามารถเอาไปเปรียบกับสองชุดแรกได้ รวมทั้งระหว่างทางหลัวซิวได้ฆ่าคนไปมากจึงสูญเสียปราณแท้ไปมาก การต่อสู้ที่เกิดขึ้นจึงไม่ง่ายอย่างที่ผ่านมา
พลังงานของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด หลัวซิวก็ไม่ได้รับการยกเว้นในเรื่องนี้
ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปหาเรื่องผู้แข็งแกร่งปริศนาอย่างเย่เซี่ยวโต่ว ทุกคนล้วนพุ่งเข้าใส่หลัวซิวเพียงเป้าหมายเดียว
ฉึก!
ปืนยาวด้ามหนึ่งได้ยินกระสุนเข้าใส่ที่หัวไหล่ของหลัวซิว นี่นับเป็นแผลแรกของหลัวซิว
ถัดจากนั้น แสงสว่างจากปราณแท้ก่อตัวหมุนวน นักรบชี่ไห่ขั้น 7 สามคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน บวกเข้ากับผู้นำทัพองครักษ์เกราะเขียวที่มีพลังแกร่งกล้าอย่างกวนหยุนเจิ้น แม้ว่าหลัวซิวจะท็อปฟอร์มเพียงใดก็ไม่อาจรับมือได้โดยง่าย
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้น ปรากฏลมปราณที่แข็งแกร่งขึ้น ความน่าพรั่นพรึงได้แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณ องครักษ์เกราะเขียวทั้งหมดต่างพากันถอยหนี เนื่องด้วยรู้สึกราวกับมีภูเขาใหญ่กดทับจนแทบจะหายใจไม่ออก
เย่เซี่ยงโต่วปรากฏตัวขึ้นด้านข้างหลัวซิว เขาเพียงยืนอยู่ตรงนี้นิ่งๆ ยังไม่ได้ลงมืออะไรและไม่มีใครกล้าเข้ามาเสี่ยงกับเขา
“ซิว!”
เมื่อเห็นทั่วร่างของหลัวซิวมีแต่รอยเลือด สีหน้าของพ่อแม่และพี่สาวของเขาจึงปรากฏความกังวล
หลัวซิ่วเอ๋อร์ พี่สาวของเขาได้เข้ามาประคองเขาเอาไว้ หลัวซิวหันไปยิ้มและเอ่ยว่า “พี่ผมไม่เป็นไร”
“ไปกันเถอะ”
เย่เซี่ยงโต่วเอ่ยขึ้น สำหรับเขาแล้ว องครักษ์เกราะเขียวของสำนักยุทธ์เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
ในตอนนั้นเองพลันเกิดความวุ่นวายดังขึ้นมาจากประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์ เซินกาวเจี้ยน และผู้อาวุโสสองคนของสำนักยุทธ์เดินออกมาโดยมีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง
เมื่อเขาเห็นเย่เซี่ยงโต่วที่ยืนอยู่ด้านข้างหลัวซิว สีหน้าเซินกาวเจี้ยนก็เริ่มหดเล็กลง
ในเขตการปกครองหยุนหลงมีทั้งหมดสิบแปดเมือง แต่ละเมืองจะมีสำนักยุทธ์ และมีสาขาย่อยของสี่ยอดแก๊งทั้งสี่อยู่ด้วย
สำหรับหัวหน้าแก๊งของแก๊งนักล่าอสูรย่อยในเมืองชิงหยุน แม้ว่าเซินกาวเจี้ยนจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เขาก็สามารถเดาที่มาของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากนัก เพราะที่หน้าอกของเย่เซี่ยงโต่วมีตรา 4 ดาวของแก๊งนักล่าอสูรปรากฏอยู่
“ท่านผู้อาวุโสคือหัวหน้าแก๊งเย่ใช่หรือไม่” เซินกาวเจี้ยนประสานมือคารวะ
“ถูกต้อง” เย่เซี่ยงโต่วไม่ปฏิเสธ
เซินกาวเจี้ยนสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยว่า “หัวหน้าแก๊งเย่คือปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ผู้น้อยไม่กล้าก้าวล่วง แต่ขอบังอาจถามสักข้อ ผู้ใหญ่ระดับสูงของสำนักเซียวเหยาได้มอบหมายให้ผู้น้อยมาจับตัวหลัวซิว หัวหน้าแก๊งเย่ได้โปรดส่งตัวเขาให้แก่ผู้น้อยได้หรือไม่”
สีหน้าของเย่เซี่ยงโต่วไร้อารมณ์ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าคงเคยได้ยินภารกิจรางวัลนำจับของแก๊งนักล่าอสูรมาบ้างล่ะมั้ง”
เซินกาวเจี้ยนพยักหน้าอย่างเคลือบแคลง
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่านี่คือภารกิจรางวัลนำจับ ข้าคือคนที่รับภารกิจรางวัลนำจับที่หลัวซิวประกาศ เจ้ากลับไปบอกลู่เฟยเฉินเถอะว่า หากเขาต้องการจับให้ไปจับที่แก๊งนักล่าอสูรที่เมืองหยุนหลงแล้วกัน” เย่เซี่ยงโต่วกล่าว
“อะไรนะ” ร่างของเซินกาวเจี้ยนชะงักค้างไป
ภารกิจที่หลัวซิวประกาศ? เขามีสิ่งใดตอบแทนปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่งให้ยอมยื่นมือมาช่วยเหลือด้วยเหรอ
ไม่เพียงแค่เขา ต่อให้เป็นลู่เฟยเฉินเองก็คงคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องหักมุมเช่นนี้ได้
ทุกคนล้วนดูถูกหลัวซิวว่าเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ของแดนชี่ไห่คนหนึ่งที่มีความสามารถมากก็เท่านั้น
เขาเกิดมายากจนไม่มีคนใหญ่โตหนุนหลัง แล้วจะประกาศหาผู้รับภารกิจรางวัลนำจับ เชิญปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างหัวหน้าแก๊งนักล่าอสูรมาช่วยเหลือได้อย่างไร
เมื่อมีภารกิจรางวัลนำจับมีคนรับแล้ว นั่นหมายความว่าหลัวซิวจะได้รับการคุ้มครองจากแก๊งนักล่าอสูร
ในเขตการปกครองหยุนหลง และสาขาของแก๊งนักล่าอสูรทั้งสิบแปดแห่ง ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของแก๊งนักล่าอสูรของเมืองหยุนหลงทั้งสิ้น
และท่านหัวหน้าแก๊งในเมืองหยุนหลงผู้นั้น แม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักยังต้องอยู่อย่างนอบน้อม เวลาที่เจ้าสำนักเจอเขายังต้องทำความเคารพเขาอย่างผู้อาวุโสกว่า
แม้ว่าแก๊งนักล่าอสูรในเมืองหยุนหลง จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแก๊งนักล่าอสูรในเขตการปกครองหยุนหลงเท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแก๊งนักล่าอสูรทั้งหมด แม้แต่เจ้าเมืองเขตการปกครองหยุนหลงของสำนักเซียวเหยายังต้องก้มหัวให้
และในขณะที่เซินกาวเจี้ยนยังคงตกใจไม่ได้สติอยู่นั้น เย่เซี่ยงโต่วและพวกหลัวซิวก็ได้หายตัวไปจากที่นั่นแล้ว
ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขาไม่กล้าออกคำสั่งให้คนของตนลงมือ เพราะสำหรับแก๊งนักล่าอสูร อย่าว่าแต่ตัวเขาเองเลย ต่อให้เป็นลู่เฟยเฉินก็ยังไม่กล้าข้องเกี่ยว
ผ่านไปเนิ่นนานหลังจากนั้น เซินกาวเจี้ยนจึงหยิบกล่องส่งเสียง ที่กำลังสั่นอยู่ในมือแล้วส่งข่าวนี้ไปยังลู่เฟยเฉิน
……
“กริ๊ง!”
หลังจากลู่เฟยเฉินที่อยู่นอกเมืองหยุนหลงได้รับข่าวแล้ว กล่องส่งเสียงที่อยู่ในมือของเขาพลันถูกบีบจนแตกละเอียด
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ต่อให้ตัวเองรอบคอบมากแค่ไหนก็ยังจะมีข้อผิดพลาดได้อีก หลัวซิวถึงขั้นใช้วิธีเชิญผู้แข็งแกร่งอย่างปรมาจารย์โลกยุทธ์มาช่วยและได้รับการคุ้มครองจากแก๊งนักล่าอสูร
เรื่องนี้จะต้องก่อความเสียหายให้กับแผนการของเขาในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย หากลูกสาวของเขารู้ว่าหลัวซิวยังมีชีวิตอยู่ จะต้องส่งผลกระทบกับการที่เขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสโกวทั้งสามท่านหรือไม่
########################