บทที่ 137 แดนปริศนา
พลังทมิฬซวนโหลว วิชายุทธ์นี้ถือเป็นระดับสูงในหมู่ระดับเจ็ด เป็นวรยุทธ์ที่ซูจิ้งหยุนซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์เคยฝึกฝน
คนปกติฝึกฝนพลังทมิฬซวนโหลว ฝึกฝนระดับพรสวรรค์คือปราณหยินมรณะส่วนที่หลัวซิวผนึกรวมคือประกายไฟทมิฬ เป็นการผสมผสานระหว่างพลังความตายและพลังเปลวไฟส่วนวิชาวัชรยักษ์ครองร่างเป็นการชุบร่างเนื้อ ให้แข็งแรงเต็มไปด้วยพลังชีวิต เป็นการผสมผสานระหว่างพลังชีวิตและพลังเปลวไฟ สามารถผนึกรวมเป็นไฟแห่งชีวิต。
หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์สองแขนงนี้ไปได้ครึ่งเดือน หลัวซัวยื่นนิ้วออกมา ประกายไฟขาวดำที่ปลายนิ้ววนเวียนรุ่มร้อนไปมา
จากนั้นเขาคิด ประกายไฟเป็นตายก็ปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างประกายไฟทมิฬและไฟแห่งชีวิต ดูลึกลับอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในนี้พลานุภาพแข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นประกายไฟเป็นตายขาวดำที่ผสานพลังความเป็นตายสองระดับไว้อยู่แล้ว
ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ชั้น9 ก็ไม่อาจต้านทานพลานุภาพของประกายไฟดำขาวเป็นตายได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับฝึกจิตขั้นหนึ่งยังต้องโดนเผาจนบาดเจ็บ!
นี่เท่ากับเป็นไพ่ตายใบที่สองนอกจากพลังแปรเสวียนเทียนของหลัวซิว!
ตอนแรกเขาแอบใช้พลังแปรเสวียนเทียนฆ่าจางหลู่เหลียง ต่อให้เป็นปรมาจารย์ฝึกจิตอย่างเย่เซี่ยงโต่วคนนั้นก็มองไม่ออก
ต่อมาหลัวซิวทำการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดทั้งสองวิชา จนสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ทั้งสองแขนงมาอยู่เป็นระดับเดียวกันวรยุทธ์ที่มีมาแต่เดิมแล้ว
ร่างเขาเพียงพอเปรียบเทียบได้กับนักยุทธ์ระดับกลางชั้นสูง ด้านการโจมตี แค่สะบัดมือเล็กน้อยก็ยังแข็งแกร่งกว่ากระบี่เงามืด
ฝีมือมาถึงระดับนี้ได้ กระบี่เงามืดไร้ความหมายไปแล้ว
วิชากระบี่ระดับบริบูรณ์สามารถใช้ได้ตามใจนึก หลัวซิวเองก็เคยลองว่าจะรับรู้ห้วงกระบี่ได้รึไม่ จากวิชากระบี่ไปถึงโลกกระบี่ แต่ด้วยระดับของหลัวซิวในตอนนั้นกลับยากที่จะรับรู้ได้
การรับรู้ของระดับโลกยุทธ์มันยากมาก ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์มากมายต่างไม่มีหนทางรับรู้แดน โดยชะงักค้างอยู่ที่ระดับบริบูรณ์
ถึงห้วงกระบี่จะไม่สามารถรับรู้ในเวลาอันสั้น แต่หลัวซิวกลับรู้ลึกซึ้งสำหรับการรับรู้ของวิชาดาบเร็ว
“ถึงเวลาจากไปแล้ว”
วันนี้หลัวซิวเดินออกจากบ้าน ไม่ได้ไปลาพ่อแม่ ต่อให้ช่วงนี้เขาอยู่ที่บ้าน แต่เวลาส่วนใหญ่ของเขาก็เอามาเข้าฌาน
พ่อแม่เองก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ครอบครัวพวกเขาสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขเป็นเพราะหลัวซิวทั้งนั้น
เพราะถ้าเขาไม่ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกอัจฉริยะขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็จะไม่มีการคุ้มครองจากองค์กร คาดว่าทั้งครอบครัวคงตายภายใต้การลอบทำร้ายของจางหลู่เหลียงกับโกวหงยี่นานแล้ว
หลัวซิวรู้ดีว่า ขอเพียงฝีมือตนเพิ่มพูนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่ตนยังเป็นสมาชิกอัจฉริยะขององค์กรนักล่ายุทธ์ ภายในเขตการปกครองหยุนหลง ความปลอดภัยของครอบครัวเขาก็ไม่ต้องให้เขาเป็นห่วงแล้ว
ระหว่างเดินอยู่บนถนนในเมือง หัวใจของหลัวซิวสงบมาก จางหลู่เหลียงกับโกงหงยี่ตายแล้ว เขาจะออกเดินไปบนหนทางไล่ตามจุดสูงสุดของผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์
“ครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่กัน”
เขานั่งวาร์ปมาถึงแก๊งสาขาย่อยของเขตการปกครองเมืองหยุนหลง
“ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกอัจฉริยะขั้นเหลืองระดับกลาง หากมีโอกาสให้ไปสำนักงานใหญ่ของเมืองหลวงเทียนหวูเพื่อสิทธิ์รายชื่อของแดนปริศนา” เหวินเซวียนหงบอก
“แดนปริศนา?”
“นั่นเป็นมรดกที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง โดนค่ายกลแข็งแกร่งปกคลุมไว้ กลายเป็นพื้นที่เล็กๆหลังจากเจ้าไปแล้วจะรู้เอง” เหวินเซวียนหงไม่ได้อธิบายอะไรมาก
ตามคำพูดของเหวินเซวียนหง แดนปริศนาจะเปิดทุกๆสามสิบปี เพราะข้อห้ามข้อจำกัดของค่ายกลมีเพียงคนที่อยู่ระดับต่ำกว่าราชายุทธ์เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ ทุกครั้งที่เปิดค่ายแต่ละอำนาจจะแย่งชิงรายชื่อที่มีสิทธิ์เข้าไป
ยังเหลือเวลาอีกราวสองปีกว่าจะถึงวันที่แดนปริศนาเปิดอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสเหวิน ข้าอยากจัดการเรื่องบางอย่างโดยอาศัยผ่าoทางองค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่?” จู่ๆหลัวซิวก็พูดขึ้นมาในห้อง
“หือ? เจ้าจะขายของรึ?”
พอเหวินเซวียนหงได้ยินคำพูดนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของหลัวซิว ก่อนหน้านี้ที่หลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างออกมาสิบเล่มทีเดียวเลย ทำเอาเขาตกใจไม่น้อยเลย
พอนับรวมๆดูแล้ว สมบัติที่หลัวซิวนำออกมาก็มีค่าเท่ากับหินพลังจิตหนึ่งแสนกว่าแล้ว หรือว่าในมือเขาจะมีสมบัติอย่างอื่นอีก?
ในแหวนเก็บของของหมอนี่มีสมบัติมากมายแค่ไหนกันนะ?
ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง หลัวซิวไม่พูด เหวินเซวียนหงก็ไม่สะดวกใจจะถาม
เห็นเพียงหลัวซิวพยักหน้า เขาหยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างที่เหลืออยู่ในแหวนเก็บของแปดเล่มออกมา มาตั้งเรียงกันบนโต๊ะตรงหน้าพวกเขา
การที่เลือกจะจัดการของพวกนี้ผ่านทางเหวินเซวียนหง เป็นเพราะหลัวซิวเชื่อใจหัวหน้าแก๊งเหวินคนนี้ ถ้าหากท่านหัวหน้าแก๊งคนนี้เกิดละโมบขึ้นมา คงลงมือไปนานแล้ว
หลังจากที่ตบะของตนได้พัฒนาจนถึงระดับพรสวรรค์ การเพิ่มพูนตบะก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ และการฝึกกลั่นร่างวรยุทธ์วิชาวัชรยักษ์ครองร่างก็ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก มีเพียงต้องจัดการสมบัติในมือที่ไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราวออกไป จึงจะสามารถเพิ่มพูนสิ่งที่การฝึกฝนของเขาต้องการได้
“เจ้านี่ได้รับโอกาสเยี่ยงใดมากันแน่?” พอเห็นหลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างแปดเล่มออกมาอีก ต่อให้เหวินเซวียนหงเป็นราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ก็ยังอดเบิกตากว้างไม่ได้
แบบนี้เท่ากับว่ากระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างที่หลัวซิวนำออกมามีถึงยี่สิบเล่มเลยทีเดียว!
ส่วนเรื่องที่ว่าตนมีสมบัติมากมายเพียงนี้ ในเมื่อหลัวซิวเชื่อใจเหวินเซวียนหง ย่อมไม่มีทางปิดบังอีก พลางหัวเราะว่า “ผู้อาวุโสรู้เรื่องราชายุทธ์ปู้เฉินหรือไม่?”
“ราชายุทธ์ปู้เฉิน? …” สายตาเหวินเซวียนหงแล่นปลาบ “เมื่อหลายร้อยปีก่อนเหมืนอจะมีคนเช่นนี้ เป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้นห้าระดับสุดยอด!”
องค์กรนักล่ายุทธ์พูดได้ว่าเป็นองค์กรที่ข้อมูลข่าวสารครบเครื่องที่สุดในใต้หล้า เหวินเซวียนหงในฐานะผู้กุมบังเหียนของแก๊งของเขตการปกครองหยุนหลง เขารู้ดีเรื่องเกี่ยวกับเขตการปกครองหยุนหลงมากที่สุด
“ว่ากันว่าราชายุทธ์ปู้เฉินนั่นหายไปตั้งแต่เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน นอกจากว่า…”
หลัวซิวพยักหน้า “ข้าได้รับมรดกที่ราชายุทธ์ปู้เฉินเหลือไว้”
เขารู้ว่าหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงต้องเดาเรื่องนี้ได้แน่ โชคดีเลยยอมรับออกมาตรงๆเลย
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” เหวินเซวียนตงสูดหายใจเข้าลึก ราชายุทธ์ปู้เฉินเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้นห้าระดับสูง หลัวซิวได้รับสมบัติมรดกที่หลงเหลือไว้ การที่สามารถหยิบกระบี่ยุทธ์ชั้นสูงออกมาได้มากมายขนาดนี้ก็สามารถอธิบายมันได้แล้วล่ะ
ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งธรรมดา สมบัติอย่างมากก็แค่หินพลังจิตชั้นล่างประมาณสองสามแสน
และถ้าสามารถพัฒนาสเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้นห้า ปรมาจารย์กลั่นยา ปรมาจารย์หลอมอาวุธ ถ้าเช่นนั้นจะมีฐานะหลายแสนหรือถึงล้าน ก็ไม่ใช่ปัญหา
การจัดวางค่ายกลของอำนาจสำนักต่างๆต้องการนักค่ายกล การฝึกฝนจอมยุทธ์ต้องการยา การรบต้องการอาวุธ สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ไม่สามารถขาดได้เลย
กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างเล่มหนึ่ง มีราคาเท่ากับหินพลังจิตสองหมื่น กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างแปดเล่มที่หลัวซิวหยิบออกมานี่ก็เกือบจะเป็นหินพลังจิตสองแสนแล้ว
เหวินเซวียนหงในฐานะผู้กุมบังเหียนของแก๊งของเขตการปกครองหยุนหลง ทรัพย์สมบัติที่มีไม่ใช่อะไรที่ราชายุทธ์ธรรมดาจะเทียบได้ แต่ถ้าจู่ๆหยิบหินพลังจิตออกมามากมายขนาดนี้ ก็คงปวดใจไม่น้อย
“ยังมีสมบัติอะไรอีก?”
เหวินเซวียนหงมองหลัวซิวอย่างรอคอยเล็กน้อย ปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้นห้าคนหนึ่งไม่มีทางจะมีของแค่นี้ เขาจำได้ว่าตอนแรกที่หลัวซิวขอให้เขาลงมือ ยังหยิบยาขั้นห้าออกมาขวดหนึ่งเลย
หลัวซิวเองก็ไม่อ้อมค้อม ในเมื่อพูดเปิดอกกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก
เขาสะบัดมือหนึ่งที และหยิบยาขั้นห้าสามขวดออกมาจากในแหวนเก็บของอีก มันคือยาผนึกเลือด
########################