Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 993 ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว

ตอนที่ 993 ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว

ตอนที่ 993 ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว
สวบๆๆ!

เงาร่างแต่ละเงาราวกับสายฟ้าที่คดเคี้ยว ขับเคลื่อนแสงเคลื่อนไหวงดงาม ห้อทะยานบินอยู่กลางอากาศ

“หนานกงหั่วผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!”

“กู้อวิ๋นถิงผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!”

“สวรรค์ ทำไมถึงเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทั้งหมด พวกเขาจะทำอะไร ดูเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่นัก!”

บนถนนเมืองเพลิงมรกตอันคึกคักมีผู้ฝึกปราณมากมายนับไม่ถ้วน แต่พอสังเกตเห็นแสงเคลื่อนงดงามที่พุ่งทะยานราวกับกระแสน้ำ ต่างก็ตกตะลึง

“ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่!”

ในใจผู้ฝึกปราณหลายคนหวาดหวั่น ตระหนักได้ว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติมาก

“เร็ว รีบไปแจ้งผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทโย พวกนั้นข่าวไวที่สุด ย่อมต้องสืบได้แน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”

แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นกู่ชาง รากฐานเก่าแก่มั่นคง

วันนี้ผู้สืบทอดหลายคนของสำนักนี้กลับเคลื่อนไหวพร้อมกัน เกิดสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่อยากดึงดูดความสนใจยังยาก

วู้ม!

ขณะเดียวกันในมือหนานกงหั่วปรากฏคันฉ่องสำริดเก่าแก่บานหนึ่ง ตัวคันฉ่องกลมมน ด้านหน้าขาวเจิดจ้าราวหิมะ ด้านหลังกลับดำเหมือนหมึก

นี่คือสมบัติเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง นามว่า ‘คันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์’ ขอเพียงจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เสี้ยวเดียว เมื่อใส่เข้าไปในสมบัตินี้ก็จะจับกุมเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา

แม้จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ อำพรางร่องรอย ก็ถูกคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี้จับได้!

“ตอนที่เด็กนี่ประเมินหินได้ทิ้งกลิ่นอายไว้ไม่น้อย ตามการคาดเดาของศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่ มีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี้ แม้เขาจะใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปก็ไม่สามารถหนีการตามล่าของพวกเราได้!”

หนานกงหั่วย่ามใจอย่างมาก มุมปากเผยยิ้มเยาะ “แคว้นกู่ชางเป็นอาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ครั้งนี้หากเขาหนีไปได้ ให้ข้าหนานกงหั่วตัดหัวตัวเองยังได้!”

“สมบัตินี่ใช้อย่างไร” กู้อวิ๋นถิงที่อยู่ข้างๆ ถาม

หนานกงหั่วยิ้มพูด “ศิษย์น้องกู้ เจ้าเพียงช่วยข้าตามจับเด็กนี่ก็พอแล้ว”

ประโยคนี้ทำให้ในใจกู้อวิ๋นถิงตระหนักได้ว่า ไม่เพียงแค่ฉู่เป่ยไห่ หนานกงหั่วเองก็ระแวงตน!

“เท่าที่ข้ารู้ หลินสวินไม่ใช่ธรรมดาเลย ศิษย์พี่หนานกงระวังหน่อยจะดีกว่า ตอนที่อยู่นครต้องห้ามในโลกชั้นล่าง ศิษย์พี่เองก็เคยสัมผัสความแข็งแกร่งของคนผู้นี้แล้ว” กู้อวิ๋นถิงพูดเรียบๆ

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หนานกงหั่วสีหน้าอึมครึมลง คำพูดของกู้อวิ๋นถิงทำให้เขานึกถึงความอับอายที่ถูกหลินสวินเตะก้น

“ไม่มีอะไร ข้าเป็นผู้รับผิดชอบการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ข้ามีหน้าที่เตือนศิษย์พี่ให้ระวัง อย่าประมาทเพราะมีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี่ หากเกิดความผิดพลาดอะไร ความรับผิดชอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านกับข้าจะรับไหว” กู้อวิ๋นถิงพูดเรียบๆ

“หึ! เจ้าวางใจ ครั้งนี้หากข้าไม่ได้จัดการเจ้าหลินสวินจนร้องขอชีวิต ข้าจะไปให้ศิษย์พี่ฉู่ลงโทษด้วยตัวเอง” หนานกงหั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันประกาศ

วู้ม!

ในเวลานั้นเองคันฉ่องสำริดโบราณที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็พริบไหวส่งเสียงขึ้นมา ไอหยินหยางแปรเป็นสัญลักษณ์อันคลุมเครือ

“จับกลิ่นอายของเหยื่อได้แล้ว อยู่ทางนั้น ตาม!” หนานกงหั่วตื่นเต้นขึ้นมา สายตาสาดประกายเย็นเยียบพลางออกคำสั่ง

ฮูม

กลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ราวกับพิรุณแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ตามติดพวกหนานกงหั่วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของเมืองเพลิงมรกต

ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้มีศิษย์สืบทอดแท้จริงสิบห้าคน ศิษย์สายในสามสิบสามคน

นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตาม ผู้ดูแลข้างกายลูกศิษย์เหล่านั้น รวมกันมีจำนวนนับร้อย เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมไร้ที่เปรียบอย่างแน่นอน

อย่างน้อยในแคว้นกู่ชางก็สามารถวางอํานาจบาตรใหญ่ได้แล้ว!

อีกอย่างถ้าจำเป็น ด้วยฐานะของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ พวกหนานกงหั่วยังสามารถเคลื่อนกำลังขุมอำนาจผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในแต่ละเมืองให้ช่วยเหลือ นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัว

พูดได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็คือเจ้าเหนือหัวของแคว้นกู่ชาง คำสั่งเดียวขุมอำนาจฝึกปราณที่กระจายอยู่ในแคว้นกู่ชางก็จำต้องทำตามโดยดีแล้ว!

นี่ก็คืออิทธิพลของสำนักโบราณ เป็นเหมือนจักรพรรดิแห่งแดนฝึกปราณ ปกครองฝั่งหนึ่ง ไม่มีใครกล้าไม่ทำตาม

……

พระอาทิตย์ตกราวกับเปลวเพลิง กำแพงเมืองที่เก่าแก่และสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว

‘ในแคว้นกู่ชางมีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณสามแห่ง แห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ อีกแห่งตั้งอยู่ที่เมืองวายุทราย และแห่งสุดท้ายตั้งอยู่ที่เมืองรุกขดิถี’

‘เมืองวายุทรายอยู่ใกล้กับเมืองเพลิงมรกตแห่งนี้ที่สุด ใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็ถึงแล้ว…’

หลินสวินพิจารณาเส้นทางออกจากแคว้นกู่ชางในหัว พลางเดินออกประตูเมืองไป

“หืม?”

แต่ตอนนี้เองเขาชะงักฝีเท้าโดยพลัน หันไปมอง

พลันเห็นว่าตรงขอบฟ้าไกลโพ้น แสงสุริยันในยามสายัณห์ราวกับเพลิง มีแสงเคลื่อนไหวงดงามมากมายกำลังห้อทะยานเข้ามา แน่นขนัดราวกับสายฝนมืดฟ้ามัวดิน อานุภาพเปี่ยมล้น

‘หนานกงหั่วกับกู้อวิ๋นถิง!’

จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ออกไปก็เห็นรูปลักษณ์ของผู้นำสองคนนั้นทันที พลันหรี่ตาลงทันใด ตระหนักได้ว่าตนถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์แล้ว

อีกทั้งต่อให้โคจรไอซวนหนีปกปิดกลิ่นอายก็ไม่มีประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายครอบครองวิชาลับหรือสมบัติที่ใช้ติดตามบางอย่าง สามารถระบุตำแหน่งตนได้อย่างแม่นยำ

มิฉะนั้นไม่มีทางตามมาภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้

ฟุ่บ!

หลินสวินพลันพุ่งออกนอกเมืองอย่างไม่ลังเล

เสียงและรูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย กลับคืนสู่รูปร่างแท้จริงของตน

การโคจรเคล็ดวิชามหาไร้รูปแม้จะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ แต่หากต่อสู้เข่นฆ่าขึ้นมาจริงๆ วิชานี้ก็จะสูญเสียประสิทธิผล

เหตุผลง่ายมาก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกหลานเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ไม่สามารถใช้ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้

นอกเมืองเป็นผืนป่าเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันไม่สิ้นสุด เชื่อมต่อกับท้องฟ้า

หลินสวินเองก็ไม่ได้รีบหนี เขาอยากรู้นักว่าเพื่อเล่นงานตนแล้ว ครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เคลื่อนกำลังบุคคลแข็งแกร่งมาเท่าไหร่กัน

บนยอดเขาสูงชันอันตรายลูกหนึ่ง เขาทะยานตัวไปหยุดอยู่บนนั้น หันไปมองและรอเงียบๆ เสื้อคลุมพัดโบกไปตามสายลม บุคลิกโดดเด่น

“หลินสวิน เป็นไอ้คนซ่อนหัวโผล่หางอย่างเจ้าจริงๆ ด้วย!”

ไม่นานพวกหนานกงหั่วก็ตามมาถึง แสงเคลื่อนไหวพร่างพราว ย้อมห้วงอากาศบริเวณนั้นเป็นสีสันงดงาม อานุภาพน่ากลัวอย่างที่สุด

“หลินสวิน เป็นเจ้าจริงๆ” สายตาของกู้อวิ๋นถิงซับซ้อนไม่น้อย ไม่เจอหลายปี เด็กหนุ่มที่มาจากชนบทในจักรวรรดิคนนั้นเปลี่ยนไปมากเช่นกัน

พลังปราณแข็งแกร่งกว่าเดิม กลิ่นอายก็มั่นคงและนิ่งสงบขึ้น มีความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง

“นี่ก็คือหลินสวินที่ฆ่าอสูรเฒ่าแรดดำหรือ ดูแล้วก็เท่านั้น!” ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างกำลังสังเกตหลินสวิน สีหน้าล้วนแฝงความเย่อหยิ่งและดูถูก

ตอนที่พวกเขาอยู่ระหว่างทางก็เคยได้ยินมาแล้วว่า หลินสวินนี่เป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่มาจากโลกชั้นล่าง เจ้าเล่ห์ ยโสโอหัง จัดการยากมาก

แต่ตอนนี้ดูแล้ว ก็เพียงแค่คนหนุ่มที่ร่างกายผอมแห้ง หัวเดียวกระเทียมลีบเท่านั้น ดูไม่ออกว่ามีอะไรน่ากลัว

“พวกเจ้ามากันแค่นี้หรือ” แม้ถูกกลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ล้อมเอาไว้ หลินสวินกลับดูนิ่งสงบและผ่อนคลายมาก

แวบเดียวเขาก็ดูออกว่า ศัตรูในที่นี้แม้จะมาก แต่กลับมีไม่กี่คนที่พอจะสู้ตนได้

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้ศักยภาพและรากฐานพลังของตนอย่างแท้จริง!

“ยังอวดดีเหมือนเมื่อก่อน!”

หนานกงหั่วโกรธจัดจนยิ้มแล้ว “ที่นี่คือแคว้นกู่ชาง คืออาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ความตายมาเยือนแล้วเจ้ายังไม่รู้ตัว ข้าควรจะบอกว่าเจ้าอวดดีหรือบอกว่าเจ้าโง่ดีเล่า”

“หลินสวิน หยุดเถอะ ครั้งนี้เจ้ายากจะหนีพ้นแล้วจริงๆ หากเจ้ายอมก้มหัวก่อน ข้าจะพยายามขอความเห็นใจให้เจ้าเต็มที่ ถึงอย่างไรเจ้าก็มาจากสำนักศึกษามฤคมรกต รากฐานและศักยภาพล้วนเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ข้าเชื่อว่าขอเพียงแค่เจ้าสำนึกด้วยตัวเอง ศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่ที่ให้โอกาสผู้มีพรสวรรค์มาโดยตลอดย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่”

กู้อวิ๋นถิงถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างจริงจัง หมายจะให้หลินสวินยอมจำนน

เพราะเขารู้ดีว่าในแคว้นกู่ชางแห่งนี้ อย่าว่าแต่หลินสวินเลย แม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชัน ถ้าถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หมายตาเข้าก็ยากจะหนีพ้น!

“ผายลม! เจ้านี่ก่อความผิดมหันต์ จะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร”

หนานกงหั่วเดือดดาล “กู้อวิ๋นถิง ศิษย์พี่ฉู่ให้เจ้ามาสังหารศัตรู ไม่ได้ให้เจ้ามาลบล้างความผิดให้ศัตรู!”

“ที่ศิษย์พี่หนานกงพูดไม่ผิด ศิษย์พี่กู้ท่านทำเช่นนี้เห็นจะไม่ถูก” ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ เองก็ขมวดคิ้ว แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของกู้อวิ๋นถิง

“ข้าแค่ไม่อยากให้ทุกคนเปิดศึกใหญ่โต ต้องฆ่ากันให้ได้เลยหรือ” กู้อวิ๋นถิงพูดเสียงขรึม

หลินสวินประหลาดใจไม่น้อย อดมองกู้อวิ๋นถิงอีกครั้งไม่ได้

“หุบปาก!” หนานกงหั่วสีหน้าเหี้ยมโหด “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่จึงให้เจ้าควบคุมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ก็เพื่อจะทดสอบความซื่อสัตย์ของเจ้าต่อสำนัก! ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีปัญหามาก!”

“ท่านจะใส่ร้ายป้ายสีกันหรือ” กู้อวิ๋นถิงเองก็เดือดดาลแล้ว

“หยุดพูดไร้สาระ ตอนนี้เจ้าไปยืนข้างๆ ซะ ศิษย์น้องคนอื่นๆ ฟังคำสั่ง หากเด็กนี่ไม่จำนนก็ฆ่าเสีย!” หนานกงหั่วออกคำสั่งโดยตรง

ในขณะที่พูดเขาก็จ้องหลินสวินด้วยสายตาเหี้ยมโหด พลันพูดว่า “เจ้าดูสิ ตอนนี้กู้อวิ๋นถิงช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้ายังจะพูดอะไรได้อีก”

เขาได้ใจมาก คิดเองเออเองว่าได้ควบคุมสถานการณ์ไว้แล้ว

“เจ้าคิดว่าที่ข้ารออยู่ที่นี่เพราะคิดจะยอมจำนนงั้นหรือ” หลินสวินเองก็หัวเราะ หนานกงหั่วยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงไม่มีสมองเหมือนตอนนั้น

“เจ้านี่แม่ง… โง่หรือเปล่าเนี่ย” หนานกงหั่วสีหน้าตกตะลึง

ครั้งนี้พวกเขาระดมพลเคลื่อนกำลังผู้แข็งแกร่งมากมาย ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินกลับยังคงอวดดีเหมือนที่ผ่านมา เขาไม่รู้ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไรจริงๆ หรือ

หากเป็นผู้ฝึกปราณที่ปกติสักหน่อย ในสถานการณ์เช่นนี้คงสงบเสงี่ยมลง หากไม่สิ้นหวังก็หวาดกลัว จะหน้าด้านหน้าทนเหมือนเจ้าหมอนี่ซะที่ไหน

ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ เองก็พูดไม่ออก ในแคว้นกู่ชาง พวกเขาเพียงแค่เปิดเผยฐานะก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายตกใจจนขวัญหนีแล้ว

แต่เจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้กลับผิดปกติมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอคนที่รนหาที่ตายเช่นนี้

“ก็จริง เจ้าก็แค่คนบ้านนอกที่มาจากโลกชั้นล่าง ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแค่ไหนแผ่นดินหนาเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องปกติ ข้าประเมินเจ้าสูงไป” หนานกงหั่วหัวเราะเยาะ ท่าทางดูเหมือนกระจ่างแจ้งแล้วอย่างไรอย่างนั้น

คำอธิบายนี้ถือว่าสมเหตุสมผล ผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีอะไรต้องกลัว ก็หมายความถึงคนประเภทนี้มิใช่หรือ

“อย่าลืมว่าศิษย์พี่ฉู่เตือนว่าหลินสวินไม่ใช่คนธรรมดา พวกเจ้าคิดว่าเขาไม่รู้ความจริงๆ หรือ” กู้อวิ๋นถิงขมวดคิ้วเตือนอยู่ข้างๆ

เขาทนดูไม่ไหวแล้วจริงๆ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถใช้กระบวนราชันกังขังสังหารอสูรเฒ่าแรดดำได้ จะเป็นคนไม่รู้ความได้อย่างไร

“ไอ้คนทรยศ จนขนาดนี้แล้วยังจะพูดเข้าข้างเจ้าหมอนั่น รีบหุบปากไปเสีย!” หนานกงหั่วสีหน้าอึมครึม ตะเบ็งเสียงออกมา

จากนั้นหนานกงหั่วก็โบกฝ่ามือ “ทุกคน จะให้เจ้าโง่ไม่รู้ความคนนี้ยอมจำนนไปเองนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ลงมือเถอะ!”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท