มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 163 แดนปริศนา

บทที่ 163 แดนปริศนา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 163 แดนปริศนา

 

“ภายในเวลาอีกไม่ถึงสองปี แดนปริศนาก็จะเปิดออกแล้ว จะต้องเป็นการต่อสู้กันระหว่างผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ก่อนที่แดนปริศนาจะเปิด จะมีการประลองเกิดขึ้น กองกำลังต่าง ๆ จากทั้งสิบสามเขต ถึงเวลานั้นก็จะส่งคนมาเข้าร่วม”

นี่เป็นครั้งที่สองที่หลัวซิวได้ยินเกี่ยวกับแดนปริศนาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแดนปริศนานี้เมื่อเทียบกับแดนนานาอสูรแล้ว จะเป็นเช่นไรบ้าง ?

แดนปริศนา เป็นพื้นที่พิเศษที่ผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณทิ้งเอาไว้ มีความลึกลับนานาประเภทซ่อนอยู่

ในอาณาเขตของประเทศเทียนหวู มีแดนลึกลับขนาดใหญ่ทั้งสิ้นสามแห่งได้แก่ แดนปริศนา แดนอเวจี และแดนนานาอสูร

ในแดนปริศนาเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หนาวเหน็บ ในสภาพแวดล้อมที่พิเศษเช่นนั้น เป็นสถานที่ที่ให้กำเนิดสมบัติของโลกและสวรรค์ขึ้นมากมาย รวมไปถึงสมบัติล้ำค่านานาชนิด

ไม่ว่าจะฝึกตนด้วยพลังเช่นไร เมื่ออยู่ในแดนปริศนาก็จะได้รับประสมการณ์และสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายมหาศาล

ข้อสันนิษฐานเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ก็คือ เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในแดนปริศนาได้

กองกำลังต่าง ๆ ในประเทศเทียนหวูต่างมีสถานการณ์ที่ซับซ้อน คนที่จะเข้าไปในแดนปริศนาได้มีจำนวนจำกัด จึงจำเป็นต้องต่างฝ่ายต่างแย่งชิง อีกทั้งการเข้าไปในแดนปริศนามีข้อจำกัดว่าต้องมีอายุต่ำกว่าสามสิบปี และอยู่ในระดับแดนพรสวรรค์ขึ้นไป !

หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในการเข้าสู่แดนปริศนา ต่อให้เป็นจักรพรรดิผู้แข็งแกร่ง ก็ไม่อาจหาวิธีบุกรุกเข้าไปในแดนปริศนาได้

ปกติแล้วการประลองจะถูกจัดขึ้นล่วงหน้า ทั้งสิบสามเขตมารวมตัวกัน จะมีเพียงสิบคนเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือก นั่นหมายความว่าคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดสิบอันดับแรก จึงจะมีโอกาสเข้าไปในแดนปริศนา

นอกจากนี้ ทั้งหกเมืองของประเทศเทียนหวู ต่างก็มีสิบอันดับรายชื่อของตนเอง ราชวงศ์ของประเทศเทียนหวูเอง ก็มีสิบอันดับรายชื่อด้วยเช่นกัน

เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว จะมีรายชื่อที่สามารถเข้าไปในแดนปริศนาได้ทั้งสิ้นแปดสิบคน !

ผู้ฝึกตนในประเทศเทียนหยู มีอยู่นับร้อยล้านคน เมื่อได้รายชื่อทั้งแปดสิบอันดับออกมาแล้ว พวกเขาทั้งแปดสิบคน ก็จะเป็นตัวแทนคนหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศเทียนหวู

นี่เป็นการประลองครั้งใหญ่ของเหล่าอัจฉริยะ

ในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวได้รับห้องลับในการฝึกตนส่วนตัว

ภายในห้องลับ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาหยิบหินพลังจิตระดับกลางในแหวนเก็บของออกมา รวมไปถึงหยิบหินพลังจิตระดับสูงจำนวนหนึ่งที่เคยได้รับเป็นของที่ระลึกจากจักรพรรดิซูจิ้งหยุนออกมาด้วย

หินพลังจิตเหล่านี้วางกองรวมกันอยู่ สมบัติเหล่านี้ส่องสงประกายแวววาว จนสว่างไปทั่วทั้งห้องลับ แผ่ซ่านพลังฟ้าดินจิตอันเข้มข้นออกมา ระหว่างที่กำลังหายใจก็สัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนของตนเองที่ค่อย ๆ สูงขึ้น

หลัวซิวหยิบอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น 5 ออกมา เตรียมที่จะอาศัยพลังของหินพลังจิตเหล่านี้ ทำให้ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 9

เมื่อเทียบกับประเทศเทียนหวูแล้ว เขตการปกครองหยุนหลงและโตว้ไห่ ไม่มีความสำคัญอะไรเลยสักนิด และเมื่อเทียบกับโลกที่กว้างใหญ่นี้แล้ว ประเทศเทียนหวูเอง ก็ไม่มีความสำคัญเลยสักนิดเช่นเดียวกัน

ระหว่างที่กำลังใช้ความคิด วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพตรงจุดตันเถียนในชี่ไห่ก็เกิดการหมุนขึ้น หลัวซิวมั่นใจในตัวเองอย่างมากว่า การก้าวเดินของเขาจะไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ตรงนี้อย่างแน่นอน

“แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนอื่นต้องยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองให้เพิ่มขึ้นเสียก่อน เพื่อครอบครองความสามารถของจักรพรรดิยุทธ์แล้ว จึงจะสามารถหยัดยืนในประเทศเทียนหวูได้ และไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของคนอื่นอีกต่อไป”

สูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง หลัวซิวรู้ดีว่าถึงแม้ตนเองจะมีศักยภาพ แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอเกินไป เขาในตอนนี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในระดับฝึกจิตขั้น 4 ขึ้นไปสักคน เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี

เคลื่อนไหววรยุทธ์ พลังฟ้าดินจิตอันเข้มข้นไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ปราณแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับแต่ละเส้นค่อย ๆ รวมตัวกันที่จุดตันเถียน วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และควบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

ในขณะเดียวกัน ในสมองของเขาก็ปรากฏภาพที่สองของผังกฎดั้งเดิมขึ้นมา และสัมผัสรับรู้ได้ถึงความลึกลับของความเป็นความตาย

……

ตอนนี้ ชื่อเสียงของชิวหลัวกำลังดังกระฉ่อนไปทั่วเขตปกครองโตว้ไห่

แต่ไม่ว่าโลกภายในจะเผยแพร่ข่าวลือของชื่อปลอมนี้ออกไปเช่นไร ระยะเวลาสองเดือนต่อจากนี้ หลัวซิวไม่ออกจากห้องลับแม้เพียงครึ่งก้าว และเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไป

เส้นทางของการฝึกตน หากไม่ก้าวไปข้างหน้าก็จะต้องถอยหลัง ท่าทีในการฝึกตนอย่างขยันขันแข็งเช่นนี้ ทำให้ผลการฝึกตนของหลัวซิวก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ปราณแท้ปราณเป็นตายสองระดับก็ผนึกกันอย่างแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ในสำนักเหลยหวู่ ลู่หมิงเหยากลับต้องเผชิญกันปัญหา

ตอนอายุสิบห้าปี เป็นโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ไม่เพียงแต่ทำให้ผลการฝีกตนของนางล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย

เพื่อรักษาอาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟ พ่อของนาง ลู่เฟยเฉิน ได้คิดหาทุกวิถีทาง หายาและสมบัติที่มีAttrน้ำนานาชนิดมา เพื่อช่วยยับยั้งพลังธาตุไฟในร่างกายของนาง

ในเมืองเสว่ซานของประเทศเทียนหวู มีสำนักหนึ่งชื่อว่าสำนักเทียนซานเสว่ มีวรยุทธ์ที่เป็นใจกลางในการถ่ายทอดวิชาหนึ่ง มีชื่อว่าวิชาใจเยือก อยู่ในวิชายุทธ์ระดับ 8

ลู่เฟยเฉินเคยพาลู่หมิงเหยาเดินทาไปเมืองเสว่ซาน คิดที่จะไปขอวิชาใจเยือกให้ลู่เมิ่งเหยาฝึกตน ทำเช่นนี้ก็จะสามารถอาศัยพลังของความเย็นช่วยต่อต้านพลังของธาตุไฟเอาไว้ได้ อีกหลายปีให้หลัง ไม่แน่ว่าโรคชีพจรขาดธาตุไฟ อาจรักษาให้หายขาดได้

ทว่า วิชายุทธ์ระดับแปดถือเป็นใจกลางในการถ่ายทอด แน่นอนว่าสำนักเทียนซานเสว่ไม่ยอมเผยแพร่ให้กับคนนอก แต่บุตรชายของเจ้าสำนักเทียนซานเสว่กลับรู้สึกชอบพอลู่เมิ่งเหยา จึงเสนอว่าต้องให้นางแต่งงานกับตนเอง แล้วจะมอบวิชาใจเยือกให้กับนาง

เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ผู้นั้นทั้งน่าเกลียดและมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ด้วยเหตุนี้ลู่เมิ่งเหยาจึงรีบปฏิเสธทันที นางยอมตายดีกว่าจะต้องยอมแต่งงาน

ในตอนแรกเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่ทว่าตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของสำนักเซียวเหยา ลู่เฟยเฉินมาเสียชีวิตลง ลู่เมิ่งเหยาเองก็ต้องเดินทางออกจากเขตการปกครองโตว้ไห่ และกลายเป็นศิษย์ของสำนักเหลยหวู่

เมื่อเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่รู้เรื่องนี้เข้า ก็เดินทางไปสู่ขอกับสำนักเหลยหวู่ทันที

เมื่อก่อนตอนที่อยู่สำนักเซียวเหยา มีลู่เฟยเฉินผู้เป็นพ่อคอยร่วมมือกับปรมาจารย์ขงชิงหยูเพื่อช่วยกันปกป้อง จึงไม่เกิดปัญหาขึ้น

แต่ในสำนักเหลยหวู่ เธอไร้ญาติขาดมิตร แม้ว่าจะได้รับการดูแลจากเล่อเผิงเฉิง แต่เขาก็เป็นเพียงแค่ผู้คุมกฎคนหนึ่งของสำนักเหลยหวู่เท่านั้น ซึ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลย

“เมิ่งเหยา สำนักเทียนซานเสว่แห่งนั้น หลายปีมานี้ทีอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ควบคุมเมืองทั้งเมือง ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่สำนักเหลยหวู่จะเทียบได้ หากเจ้าแต่งงานกับเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ ผลประโยชน์ที่จะได้รับคงมากมายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้”

ภายในห้อง เล่อเผิงเฉิงกำลังพูดเกลี้ยกล่อมลู่เมิ่งเหยา

“ต้อให้ข้าต้องตายก็ไม่มีวันแต่งงานกับเขา” ลู่เมิ่งเหยาปฏิเสธออกมาโดยไม่ลังเล นางรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก

ถ้าหากเป็นลู่เฟยเฉินผู้เป็นพ่อ ขอเพียงแค่นางไม่อยากแต่ง ต่อให้สำนักเทียนซานเสว่จะมีอิทธิพลสักแต่ไหน ก็ไม่มีวันยอมให้นางบังคับตัวเองทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจอย่างแน่นอน

ส่วนอาเล่อผู้นี้ ถือเป็นเพื่อนตายของพ่อ เขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่สนิทสนมกันมากนัก

ส่วนเล่อเผิงเฉิงและผู้อาวุโสของสำนักเหลยหวู่ หากสามารถเป็นทองแผ่นเดียวกันกับสำนักเทียนซานเสว่ได้ ก็คงจะร่วมมือกันอย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ?

“เมิ่งเหยา อาเล่อเองก็ดีกับเจ้าไม่น้อย หลังจากที่เจ้าเข้ามาในสำนักเหลยหวู่ ก็ไม่เคยให้เจ้าต้องคับข้องใจเลยแม้แต่น้อยใช่ไหม ?”

เล่อเผิงเฉิงถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า : “เรื่องนี้อาเองก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เพราะเจ้าสำนักรับปากตกลงการสู่ขอของเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ไปแล้ว”

“ข้าไม่แต่ง !” ท่าทีของลู่เมิ่งเหยาแน่วแน่อย่างที่เป็นมาตลอด

นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงหลัวซิวอีกครั้ง ถ้าหาก……ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย หลัวซิวคงจะต้องอยู่ข้างกายของตนอย่างแน่นอนใช่ไหม ?

เพียงแต่โชคชะตามักเล่นตลกกับคน นางรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับหลัวซิวดี เป็นการยากที่จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท