มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 177 อำนาจของตราแห่งความตาย (1)

บทที่ 177 อำนาจของตราแห่งความตาย (1)

 

 

 

 

บทที่ 177 อำนาจของตราแห่งความตาย (1)

 

“พลังนี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาไม่ใช่ระดับฝึกจิตครึ่งทั่วไป แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่กลั่นร่าง!” ระดับฝึกจิตครึ่งคนหนึ่งที่ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ยิ่งมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวรวบรวมจิตสังหารและยกกระบี่วาววับขึ้นอีกครั้ง โจมตีระดับฝึกจิตครึ่งอีกคนจนกระเด็นออกไปพร้อมเลือดที่กลบปาก

จอมยุทธ์ใหญ่สิยกว่าคนที่เหลือ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปตาม ๆ กัน

คาดไม่ถึงว่าระดับฝึกจิตครึ่งก็ไม่สามารถต่อกรได้ หรือนี่จะเป็นอสูรกายที่โพล่ออกมาจากที่แห่งใด?

“มอบยันต์หยกขาวให้ข้า ทำลายยันต์หยกสีแดงของพวกเจ้าเสีย”

รอบกายหลัวซิวล้อมรอบไปด้วยรังสีอาฆาตสีเลือดอยู่ในอากาศ พลางก้องพูดเสียงอย่างไม่แยแส

จอมยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองและอีกสิบกว่าคนได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปเป็นลำบากใจขึ้นมาทันที

ที่ต้องให้คนเหล่านี้ทำลายยันต์หยกแดง ความจริงแล้วหลัวซิวคำนึงถึงเมื่อตนยึดยันต์หยกของพวกเขามาแล้ว คนพวกนี้คงจะแค้นฝังใจอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะไปร่วมมือกับคนอื่น ๆ แล้วกลับมาแก้แค้นเขาอีกก็ได้

“อย่าท้าทายกับความอดทนของข้า” เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้ยังคงลังเลไม่ยอมตัดสินใจเสียที หลัวซิวจึงเตือนอีกครั้ง

คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าที่ไม่เต็มใจ อยู่ ๆ ชายระดับฝึกจิตครึ่งคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ทุกคนแยกย้ายแล้วหนีไป!”

ก่อนที่เสียงของจะสิ้นสุดลง เขาก็เป็นคนแรกที่เคลื่อนไหวและเลือกทิศทางที่จะหลบหนีด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด

จากนั้นคนอื่น ๆ ก็ค่อยเริ่มทำตาม และในเวลานั้นเอง สถานการณ์ตรงหน้าก็เหมือนกับลิงที่ตื่นตระหนกวิ่งไปคนละทิศคนละทาง

หลัวซิวขมวดคิ้ว คนพวกนี้ถือว่าฉลาดมากจริง ๆ ใช้วิธีนี้เขาจับทุกคนไม่ได้แน่นอน

“ดูเหมือนว่า ข้าจะใจดีเกินไป”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น แววตาของหลัวซิวก็เผยความเยือกเย็นขึ้นวูบหนึ่ง ถ้าเขาโจมตีคนเหล่านี้หรือฆ่าพวกเขาโดยตรง ก็จะไม่มีใครสามารถหลบหนีได้

การกำหนดจำนวนของแดนปริศนามันสำคัญต่อตัวเขาเช่นกัน หลัวซิวไม่ยินยอมให้ความใจดีเพียงน้อยนิดของเขา ทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น

กระแสสัมผัสถูกแพร่ออกไป ตรึงนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนแรกที่จะหนีเอาไว้ หลัวซิวแพร่กระจายวิชาตามลมล่าจันทรา จากนั้นจึงไล่ตามออกไป

เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา หลัวซิวก็สามารถไล่ตามคู่ต่อสู้ได้ ครั้งนี้เขาไม่พูดอะไรแม้แค่คำเดียว เขาก็จัดการฆ่าพวกเขาด้วยปราณกระบี่เปลวไฟดำห้าสายทันที

เพลิงมรณะรวมตัวกันเป็นปราณกระบี่ ในเวลานี้ต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย เพราะพรแห่งกระบี่สังหารห้วงยุทธ์ พลังของปราณกระบี่นั้นแข็งแกร่งมากขึ้น เทียบเท่ากับฝีมือแห่งปรมาจารย์ฝึกจิตขั้นต้นได้เลย

พวกระดับฝึกจิตครึ่งพยายามดิ้นรนต้านการต่อสู้ แต่ความเป็นจริงแล้วพลังนั้นห่างชั้นกับหลัวซิวเกินไป เผชิญหน้ากันเพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถทำลายยันต์หยกแดงได้ด้วยมือเดียว

“ต่อให้ข้าทำลายยันต์หยกจนสิ้นแล้ว ก็ไม่มีมีวันยกให้เจ้า!”

อาจจะเป็นเพราะถูกหลัวซิวทำให้ถูกคัดออก นักยุทธ์หนุ่มระดับฝึกจิตครึ่งคนนี้ก็รู้สึกเคียดแค้น หยิบเอายันต์หยกขาวออกมาจากแหวนเก็บของ และทำลายมันตรงนั้น

เหตุผลที่เขากล้าทำเช่นนี้ เพราะเขาคิดว่าเขาได้บดทำลายยันต์หยกแล้ว ไม่เกินห้าการหายใจก็จะถูกส่งออกไปนอกเขต ไม่มีเหตุผลต้องกลัวว่านักยุทธ์หนุ่มชุดดำคนนี้จะทำอะไรเขาได้

เมื่อเห็นการกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่าย ความเยือกเย็นในดวงตาหลัวซิวยิ่งรุนแรงขึ้น

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้เป็นผู้นำ ยันต์หยกขาวของทั้งสิบกว่าคนเหล่านั้นจะต้องตกอยู่ในมือหลัวซิวแล้วเป็นแน่

แต่ไอ้เวรนี่ไม่เพียงแต่ไม่สำนึกในเมตตาขอวหลัวซิวแล้ว ยังทำลายยันต์หยกอีก ทำให้เขาไม่ได้อะไรเลย

“หาเรื่องตาย!”

จิตสังหารรอบกายหลัวซิวนั้นปราศจากการอดกลั้นแม้แต่น้อย

หากเขาใจดีด้วย คนอื่นก็จะไม่เห็นค่า แต่กลับคิดว่าอ่อนแอและหลอกลวงได้ง่าย

เช่นนั้นแล้ว ก็ไปถามหาความเมตตาจากแม่เจ้าเถอะ!

หลัวซิวตัดสินใจเปลี่ยนความคิดในชั่ววินาที

“ชิ้ง!”

กระบี่ยุทธ์ดินระดับกลางถูกดึงออกจากฟักที่อยู่ด้านหลัง แสงกระบี่เย็นวาบพาดผ่าน ศีรษะของนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนนั้นกระเด็นออกจากบ่าในทันที พร้อมด้วยสายเลือดอุ่น ๆ ที่พุ่งกระจายออกมาเป็นสาย

จนกระทั่งตอนที่ใกล้จะตาย เขาจึงได้รู้ว่าเขาโง่เง่ามากแค่ไหน คิดไปเองว่าทำลายยันต์หยกแดงไปแล้วชีวิตก็จะปลอดภัย แต่ความจริงแล้วนั้นฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถในการฆ่าเขาให้ตายได้ในทันที

ไม่ต้องพูดถึงเวลาห้าการหายใจ ต่อให้มีเวลาเพียงแค่หนึ่งกาหายใจเข้า หากอีกฝ่ายต้องการฆ่าเขา เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้ทำลายยันต์หยกก็คงไม่มี

ถ้าหากให้โอกาสที่สองกับเขาได้เริ่มใหม่ เขาต้องเป็นคนมอบยันต์หยกขาวให้เอง และคงจะไม่ยั่วโมโหชายที่น่ากลัวคนนี้แน่นอน

น่าเสียดาย ชีวิตคนเรานั้นมีเพียงแค่หนึ่งชีวิต ไม่มีโอกาสที่สองให้เริ่มต้นใหม่

ไม่ทันรู้ตัว เวลาหนึ่งวันก็ได้ผ่านพ้นไป หลัวซิวได้ฆ่าอสูรกายระดับสามไปหนึ่งตัว และก่อกองไฟที่ริมทะเลสาบ

วันแรกของการแข่งขันเอาชีวิตรอด เขาได้รับยันต์หยกขาวมาประมาณสามสิบอัน เมื่อนับแล้วดูเหมือนจะไม่มาก แต่นี่เป็นเพียงวันแรกของการแข่งขันเท่านั้น

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ก็ยิ่งน้อยลงทุกที แต่คนที่จะสามารถรอดไปจนถึงท้ายที่สุดได้ ยันต์หยกในมือของทุกคนนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยเลย

แน่นอน ยันต์หยกในมือนั้นยิ่งมีเยอะมากเท่าไร พลังนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งต่อกรด้วยยากมากขึ้นเท่านั้น

และก่อนฟ้ามืด หลัวซิวยังเห็นการทะเลาะวิวาทของคนนับร้อย ในนั้นส่วนมากเป็นนักยุทธ์พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมิและนักยุทธ์ช่วงกลาง ส่วนน้อยคือนักยุทธ์ช่วงหลังและจอมยุทธ์ใหญ่ ระดับฝึกจิตครึ่งมีอยู่ไม่เกินห้าคน

เดิมทีหลัวซิวยังวางแผนที่จะตกปลาในน่านน้ำแห้งความวุ่นวาย และใช้โอกาสนั้นในการแย่งชิงยันต์หยกให้มากขึ้น แต่กลับสังเกตเห็นว่ารอบ ๆ สถานที่ต่อสู้นั้น ก็มีคนวางกับดักค่ายสังหารระดับสี่และค่ายยากเย็นไว้

คนสุดท้ายที่ลงมือ คือหญิงชุดชาวที่มีผลการฝึกตนแห่งการฝึกจิตขั้นสาม โดยมีค่ายสังหารระดับสี่และค่ายยากเย็นเป็นตัวช่วย สถานที่ต่อสู้นั้นมีผู้คนนับร้อย ยันต์หยกทั้งหมดก็ตกลงไปในกระเป๋าของหญิงคนนั้นเช่นกัน

หลัวซิวไม่ได้ขัดแย้งกับผู้หญิงในชุดขาว เปลวไฟดำแห่ง การต่อสู้เพื่อเข้ารอบเพิ่งเริ่มต้นขึ้นและไม่ควรเผชิญหน้ากับผู้คนที่อยู่เหนือกว่าระดับฝึกจิตเร็วเกินไป

“รอบแรกของการแข่งขันเอาตัวรอดมีทั้งหมดเจ็ดวัน การต่อสู้ในช่วงสองวันแรกนั้นจะไม่รุนแรง และคาดว่าการต่อสู้จริงจะเกิดขึ้นในช่วงสองสุดท้าย” หลัวซิวคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

ทันใดนั้น หลัวซิวก็หรี่ตามองขึ้นไปบนฟ้าไม่ไกลนัก

เห็นร่างสี่ร่างลอยอยู่บนท้องฟ้า สามคนในนั้นกำลังไล่ล่าผู้หญิงคนหนึ่ง

ผู้หญิงที่ถูกไล่ล่าสวมชุดสีขาว แต่ในขณะนี้มีคราบเลือดอยู่เต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส

หลัวซิวรี่ตา สังเกตเห็นผู้หญิงในชุดขาวที่ถูกตามล่า คือนักยุทธ์หญิงที่มีผลการฝึกตนแห่งการฝึกจิตขั้นสามคนนั้น ที่โจมตีผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยจนราบ

ในตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว หลัวซิวจุดกองไฟอยู่ข้างทะเลสาบ สำหรับคนสี่คนที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็นที่สะดุดตามากเพียงใด

ผู้หญิงในชุดขาวอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสและค่อนข้างอ่อนแรงเกินไป และร่างกายที่บอบบางของเธอจึงได้ตกลงมาจากอากาศด้วยความอ่อนแรง

ตกลงมาจากความสูงขนาดนั้น หากไม่ใช่การกลั่นร่างของผู้ฝึกยุทธ์ คงจะต้องหักเป็นเจ็ดแปดท่อนแน่นอน และผู้หญิงชุดขาวเองก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ เกรงว่าอาการบาดเจ็บจะต้องรุนแรงขึ้นอีก

“เดิมทีป่าแห่งนี้กว้างใหญ่มาก และมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันนับแสนคน นี่แค่วันแรกข้าก็เจอเจ้าถึงสองครั้ง ถือว่าเป็นโชคชะตา ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง”

หลัวซิวลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ร่างของเขาขยับ และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นใต้ผู้หญิงในชุดขาว เอื้อมมือออกไปจับเธอ และกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา

เขารู้ดี สามคนนั้นที่ตามฆ่าหญิงชุดขาวสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ต้องเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับฝึกจิตแน่นอน

อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นเขาแล้วเช่นกัน และเมื่อผู้หญิงชุดขาวได้รับบาดเจ็บ เขาก็คงจะต้องต่อสู้กับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จะว่าไป ฉากที่ผู้หญิงชุดขาวกำจัดผู้ฝึกยุทธ์ไปหลายร้อยคนด้วยค่ายกลระดับสี่นั้น ยังคงตราตรึงใจหลัวซิวจริงๆ

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาลงมือช่วยเหลือเธอ แม้ว่ามันอาจจะสร้างปัญหาบางอย่างก็ตาม

ในขณะที่ได้ใกล้ชิดกับนาง หลัวซิวจึงได้รู้ว่าอาการบาดเจ็บของผู้หญิงชุดขาวนั้นรุนแรงเพียงใด จั้งฝู่แตกสลายไปหมด แม้กระทั่งชี่ไห่และจุดตันเถียนก็ได้รับบาดเจ็บไปด้วย

มีรอยฝ่ามือสีดำและม่วงบนหลังของนาง ดูเหมือนว่าจะถูกโจมตีจากด้านหลัง และได้รับบาดเจ็บสาหัส

สามคนที่ไล่ตามผู้หญิงชุดขาว ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน ชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งชุดดำ คนหนึ่งชุดสีฟ้า และอีกคนคือผู้หญิงผมสีทองยาว

“น้องหญิงสาม ฆ่าเจ้านั่นเสีย”

ทั้งสามอยู่กลางอากาศ ทอดสายตามองหลัวซิวที่อยู่บนพื้นดิน ชายชุดดำพูดอย่างเย็นชา

“ได้!”

ผู้หญิงผมสีทองยาวคนนั้นหยิบกระบี่ยุทธ์สองเล่มออกมาจากแหวนเก็บของ สองมือถือกระบี่ เส้นริ้วปราณกระบี่สีทองราวสิบเมตรปล่อยออกมา พุ่งมาทางหลัวซิวเพื่อฆ่า

 

########################
 

 

 

 

 

 

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท