บทที่ 225 ตระกูลสวี
เมื่อเขาออกมาจากแดนนานาอสูร หลัวซิวก็รู้สึกได้ว่าแหวนเก็บของที่อยู่ในกล่องส่งเสียงกำลังสั่น
ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในแดนนานาอสูร เขาตัดขาดจากโลกภายนอก ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่มีทางที่จะติดต่อเขาผ่านกล่องส่งเสียงได้
เขาหยิบกล่องส่งเสียงออกมาจากแหวนเก็บของ หลัวซิวอยากรู้มากว่าผู้ใดเป็นคนส่งข่าวมาถึงตน
เพราะเขารู้ดีว่าคนที่จะส่งข่าวมาถึงเขานั้นมีน้อยมาก
ข่าวแรกคือข่าวที่ส่งมาจากท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงที่สาขาเมืองชิงหยุน เขาออกจากเมืองแล้ว และการฝึกตนบรรลุถึงขั้นราชายุทธ์แดนขั้น 5 แล้วยังรู้ด้วยว่าหลัวซิวปรากฏตัวที่การต่อสู้แย่งชิงโควต้าด้วย ดังนั้นจึงส่งข้อความาไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ
ข่าวที่สองก็ยังคงเป็นท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงส่งมา โดยบอกเขาว่าแดนปริศนากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอให้เขารีบไปที่เมืองหลวงของประเทศเทียนหวู
และเนื่องจากหลัวซิวยังไม่ได้ตอบข้อความเขากลับไป ดังนั้นเหวินเซวียนหงจึงส่งมาอีกหลายข้อความ
นอกจากนี้ยังมีข้อความที่ส่งมาจากลู่เมิ่งเหยา โดยมากแล้วเธอจะส่งมาเพราะความเป็นห่วง ทำให้หลัวซิวรู้สึกอบอุ่นใจ
และยังมีอีกข้อความหนึ่งที่ส่งมากจากโอวโหวเหลียงแก๊งนักกลั่นยาของเมืองซานหยวน โดยบอกว่ามีเรื่องอยากปรึกษากับเขา
หลัวซิวตอบข้อความของพวกเขาทุกคน จากนั้นจึงลอยตัวขึ้นฟ้าจนทิ้งลำแสงเอาไว้ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองซานหยวนที่อยู่ใกล้ที่สุด
“เวลาผ่านไปห้าหมื่นปี ทำไมพลังฟ้าดินจิตยุคนี้ถึงได้เบาบางขนาดนี้”
เมื่อออกมาจากแดนนานาอสูรแล้ว หลงหมิงก็เริ่มบ่นออกมา “ยุคโบราณที่ฉันเคยอาศัยอยู่ พลังฟ้าดินจิตเข้มข้นกว่าตอนนี้เป็น 10 เท่า หรือแม้แต่สำนักของกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ พลังฟ้าดินจิตยังเข้มข้นกว่านี้ถึง 10 เท่า”
ยุคโบราณเมื่อห้าหมื่นปีก่อน เกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างไร หลงหมิงเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
ทว่าฟ้าดินตอนนี้ห่างไกลจากยุคโบราณอย่างลิบลับ การฝึกยุทธ์ก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้น ตำราถ่ายทอดก็สูญหายไปมาก
อาณาเขตที่ประเทศเทียนหวูครอบครองอยู่นี้ เมื่อห้าหมื่นปีที่แล้วในยุคโบราณถือว่าอยู่ในอาณาเขตของสำนักไท่เสวียนด้วย
ประเทศเทียนหวูในยุคปัจจุบัน จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด ทว่าสำหรับสำนักไท่เสวียนในสมัยก่อน จักรพรรดิยุทธ์ก็เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเท่านั้น
ไม่นานนัก หลัวซิวก็ได้เดินทางมาถึงแก๊งนักกลั่นยาที่เมืองซานหยวนที่มีคนหลากสำนักคอยจับตาสอดส่ายอยู่ และก็เพิ่งรับรู้ในตอนนั้นว่าเขาปรากฏตัวขึ้นแล้ว
ในห้องทำงานอันเงียบสงบ โอวโหวเหลียงลุกขึ้นยืนขึ้นต้อนรับเขาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
ไม่เจอกันนานกว่าครึ่งปี ตอนนี้โอวโหวเหลียงสัมผัสได้ว่าตนเองมองระดับการฝึกตนของหลัวซิวไม่ออกอีกแล้ว ในขณะเดียวกันเขายังแอบสัมผัสได้อีกว่าภายในร่างกายของเขามีพลังบางอย่างที่น่าหวาดกลัวแพร่กระจายไปทั่ว
คนทั้งสองนั่งลง โอวโหวเหลียงเป็นฝ่ายรินน้ำชาให้กับหลัวซิวด้วยตัวเอง “ปรมาจารย์ซิวหลัว ไม่เจอกันมาตั้งครึ่งปีแล้ว ยินดีด้วยที่ยกระดับการฝึกตนขึ้นได้ไม่น้อยเลย”
“ปรมาจารย์โอวโหวชมเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าต้องการพบผมด้วยเหตุใดหรือ” หลัวซิวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วตอบออกไป
“คืออย่างนี้นะ มีคนไหว้วานข้า ให้ข้ามาขอร้องให้ปรมาจารย์ซิวหลัวช่วยกลั่นยาให้” โอวโหวเหลียงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“กลั่นยา?” สีหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ทั้งผมและท่านต่างเป็นปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 4 คนผู้นั้นไม่มาขอให้ท่านขช่วยกลั่นยาให้แต่กลับมาขอร้องผมงั้นหรือ”
“เป็นรุ่นพี่ท่านหนึ่ง และสิ่งที่ต้องการไม่ใช่ยาระดับ 4” โอวโหวเหลียงกล่าว
“แล้วระดับไหน?” หลัวซิวกล่าวถามอย่างแคลงใจ
“ระดับ 6” โอวโหวเหลียงหรี่ตากล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหลัวซิวก็หายไป แล้วโบกมือ “ทั่วทั้งโลกยุทธ์มีเพียงคนในราชวงศ์ผู้นั้นที่สามารถกลั่นได้ ผมเองก็ไร้ความสามารถ”
“แม้ว่าอาจจะดูหยาบคายไปบ้าง ทว่าข้าเชื่อว่ารุ่นพี่ที่สอนปรมาจารย์ซิวหลัวกลั่นยาผู้นั้นน่าจะพอทำได้” โอวโหวเหลียงถามแบบหยั่งเชิง
หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมโอวโหวเหลียงจะต้องตอบแบบอ้อมๆ เช่นนี้ เป็นความต้องการของเขาหรือว่ามีคนขอให้เขาทำแบบนี้
“ปรมาจารย์โอวโหว หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผมขอตัวก่อน”
หลัวซิวไม่กล่าวอะไรต่อ เพียงลุกขึ้นยืนเตรียมจะกลับไป
“หนุ่มน้อย อย่าเพิ่งใจร้อนเช่นนั้น”
ในตอนนั้นเอง ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก ผู้อาวุโสสวมใส่ชุดเขียวไว้เคราขาวก็เดินเข้ามา
เมื่อผู้อาวุโสชุดเขียวปรากฏตัว โอวโหวเหลียงก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยเรียนผู้อาวุโส
ตอนนั้นหลัวซิวจึงเข้าใจขึ้นมาทันที ผู้ที่ต้องการยาแท้จริงแล้วคงเป็นผู้อาวุโสเคราเขียวที่อยู่ตรงหน้านี้เอง
เขาหรี่ตาลง หลัวซิวจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสเคราเขียวตรงหน้า ลายเซ็นของอีกฝ่ายปรากฏอย่างชัดเจน แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังจิตแท้ ทว่าภายในร่างกายของเขากลับมีพลังงานอันน่าหวาดหวั่นมวลใหญ่ซ่อนอยู่
ทว่าหลัวซิวเองก็สังเกตเห็นว่าลายเส้นชีวิตบริเวณจุดตันเถียนของผู้อาวุโสชุดขาวคนนี้มีร่องรอยความเสียหาย แต่ด้วยการฝึกตนของเขาจึงพยายามที่จะสะกัดกั้นความเจ็บของบาดแผลเอาไว้
“ผู้น้อยน่าจะเป็นหลัวซิวผู้ที่โด่งดังและโดดเด่นที่สุดของประเทศเทียนหวูในช่วงนี้กระมัง” ผู้อาวุโสชุดเขียวมองหลัวซิวพลางอมยิ้ม
“ผู้น้อยคือซิวหลัว ไม่ใช่หลัวซิว” หลัวซิวกล่าวเรียบๆ
ผู้อาวุโสไม่โกรธที่หลัวซิวกล่าวปฏิเสธ เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หลัวซิวก็ดี ซิวหลัวก็ดี ข้ามีเรื่องอยากขอร้องให้เจ้าช่วยสักหน่อย”
“หากเป็นเรื่องยาขั้น 6 ผู้น้อยไร้ความสามารถ”
ผู้อาวุโสชุดขาวยิ้มพลางส่ายหน้า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ นั่งลงคุยกันก่อนเถิด”
หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นจึงนั่งลงตรงกันข้ามกับผู้อาวุโสชุดเขียวในห้องทำงาน
โอวโหวเหลียงเพียงทำความเคารพผู้อาวุโสชุดเขียวอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูห้อง
ขนาดโอวโหวเหลียงเป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ยังต้องนอบน้อมกับผู้อาวุโสชุดเขียวขนาดนี้ แสดงว่าฐานะของอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“ผู้น้อยคงจะยังไม่รู้ฐานะของข้า” ผู้อาวุโสชุดเขียวนั่งลงแล้วยิ้ม
หลัวซิวพยักหน้าแล้วไม่ได้ตอบอะไรออกไป
ผู้อาวุโสชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้าอมยิ้ม สีหน้าของเขาปรากฏแววความภูมิใจ “ข้าคือสวีจิงเหนียน บางทีเจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อน แต่ก็คงจะพอรู้จักตระกูลสวีที่อยู่ในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวูบ้างกระมัง”
“ตระกูลสวี?”
หลัวซิวชะงักเล็กน้อย คนแซ่สวีในประเทศเทียนหวูนั้นมีไม่น้อย แต่มีเพียงตระกูลสวีเท่านั้นที่จะอยู่สิบตระกูลใหญ่ด้วย
เห็นได้ชัดว่า ผู้ที่มีสถานะลึกลับตรงหน้าตนอย่างผู้อาวุโสชุดเขียวคนนี้นั้น น่ามีความข้องเกี่ยวกับตระกูลสวี
“ตระกูลสวีที่อยู่ในสิบสุดยอดตระกูล มีข้าเป็นผู้ก่อตั้งเอง”
คำพูดประโยคถัดมาของผู้อาวุโสชุดเขียวทำเอาหลัวซิวต้องชะงักแน่นิ่งอยู่กับที่
########################