บทที่ 240 ราชาสิงห์ปีกทอง
ผลประโยชน์ดีๆ ที่ชิวลั่วสุ่ยพูดมา ทำให้เขาหวั่นไหว และรับปาก ยิ่งไปกว่านั้น ถึงไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์เหล่านี้ เขาก็ต้องไปหาน้ำแร่วิญญาณอยู่แล้ว
เมื่อเห็นหลัวซิวรับปาก ชิวลั่วสุ่ยมีสีหน้าดีใจ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ขณะนั้น เรือรบสั่นอย่างรุนแรง เกิดเสียงดังสนั่นเข้ามาในหูไม่หยุด
หนุ่มสาวอัจฉริยะที่อยู่ในเรือรบจำนวนมาก ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็ต้องตกใจ แต่ละคนต่างพากันออกมานอกห้อง แล้วมองไปด้านนอก เกราะป้องกันม่านแสงนอกเรือรบ มีอสูรกายขนาดมหึมา ที่มีปีกสองข้าง กำลังคำรามโจมตีอย่างดุดัน
อสูรกายตัวนี้มีลักษณะเหมือนสิงห์ มีแผงคอสีทองปกคลุม เมื่อปีกทั้งสองข้างสยายออก ยาวประมาณ 33 เมตรกว่า รูปร่างเล็กว่าเรือรบเพียงเล็กน้อย
“อสูรระดับ5 ราชาสิงห์ปีกทอง!”
มีคนอุทานออกมาอย่างตกใจ รู้จักที่มาที่ไปของอสูรกายตัวนี้
ตอนนี้เรือรบบินผ่านบนป่าดงดิบแห่งหนึ่ง ไม่รู้ทำไมถึงไปรบกวนอสูรกายที่เทียบได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์
เกราะป้องกันม่านแสงของเรือรบสั่นสะเทือน เพราะถูกราชาสิงห์ปีกทองโจมตีอย่างรุนแรง ทำให้หนุ่มสาวอัจฉริยะบนเรือรบ ต่างมีสีหน้าตึงเครียด
พลังอสูรบนตัวราชาสิงห์ปีกทองตัวนี้ ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้นปลาย ถ้าค่ายกลป้องกันเรือรบถูกทำลาย เดาว่านอกจากหนานหรงชินหวาง ใครก็ไม่มีทางรอดไปได้
“เปิดปืนใหญ่พลังดั้งเดิม!” หนานหรงชินหวางยืนเอามือไพล่หลัง บนดาดฟ้าเรือ แผดเสียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ครับ!”
นักค่ายกลที่ตามมาบนเรือรบสองสามคน รีบเอาหินพลังจิตออกมาเป็นจำนวนมาก ถมเข้าไปยังค่ายกลภายในเรือรบ
แสงสว่างวิบวับเป็นประกาย ประกายแสงค่ายส่องแสงปะปนกัน กลายเป็นเครื่องยิงขีปนาวุธขนาดใหญ่ กว่า 33 เมตร พลังฟ้าดินจิตอันทรงพลัง รวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นพลานุภาพอันน่ากลัว ที่ไม่สามารถต้านทานได้
นี่เป็นอาวุธที่ติดตั้งมาพร้อมเรือรบ ปืนใหญ่พลังดั้งเดิม!
การสร้างเรือรบ มาจากวิชากลั่นสมบัติในสมัยโบราณ
ประเทศเทียนหวูมีเรือรบระดับชั้นล่างอยู่สองลำ เรือลำที่ทุกคนโดยสาร เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อเปิดปืนใหญ่พลังดั้งเดิมของเรือรบระดับชั้นล่าง จะเสียหินพลังจิตไปแสนก้อน พลานุภาพของกระสุน สามารถฆ่าราชายุทธ์ได้!
ตู้ม!
ระหว่างชุลมุน ลำแสงสีขาวขนาดใหญ่ ถูกยิงออกจากดาดฟ้าเรือรบ ผ่านอากาศพร้อมความสั่นสะเทือน เหมือนห้วงเวลาบิดเบี้ยวไปหมด
ขณะที่หนุ่มสาวอัจฉริยะ 130 กว่าคน กำลังมองอย่างจดจ่อ ลำแสงที่ปืนใหญ่พลังดั้งเดิมยิงออกไป ทะลุร่างมหึมาของราชาสิงห์ปีกทองตัวนั้น เลือดเนื้อกระดูกกลายเป็นแก๊ส บนตัวเกิดหลุมเลือดขนาดใหญ่
“โฮก!”
ราชาสิงห์ปีกทองร้องโอดครวญออกมา ปีกสีทองขนาดใหญ่ทั้งสองข้างสั่นไปมา กำลังจะบินหนีไป
“สัตว์ร้ายคิดจะหนีเหรอ”
หนานหรงชินหวางแสยะยิ้มเย็นชา “เร่งความเร็วค่ายวาตะให้เร็วที่สุด ชนเข้าไป!”
“ครับ!” นักค่ายกลรีบรับคำสั่ง รีบกระตุ้นสัญลักษณ์ลายเส้นของค่ายวาตะบนเรือรบ
ทันใดนั้น ความเร็วของเรือรบถึงขีดสุด เรือรบขนาดใหญ่มหึมา เหมือนลำแสงบินบนท้องฟ้า เหมือนโต้คลื่นอยู่ในทะเลใหญ่
แค่พริบตาเดียว เรือรบตามราชาสิงห์ปีกทองจนทัน เสียงระเบิดดังขึ้น ชนอสูรกายที่ทัดเทียมได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ จนเละเทะ เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาไม่หยุด
หนานหรงชินหวางลอยขึ้นไปบนฟ้า ถือมีดรบสีทองอยู่ในมือ เสียงฉึบครั้งเดียว ทำให้หัวของราชาสิงห์ปีกทองขาด เขายื่นมือไปคว้ายาอสูรสีทองเม็ดหนึ่ง
จากนั้น หนานหรงชินหวางสะบัดมือ เอาศพขนาดใหญ่ของราชาสิงห์ปีกทอง เก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ
อสูรระดับ5 ที่ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ โดนฆ่าตายเช่นนี้
ภาพความจริงเช่นนี้ ทำให้ทุกคนตกใจ พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรือรบ ก็ทำให้คนมิอาจลืมเลือน
“เรือรบระดับชั้นล่างเช่นนี้ สามารถกดดันราชายุทธ์ทุกคนได้แล้ว” หลิวซิวอดเลียริมฝีปากไม่ได้ หวังอย่างยิ่งว่าตัวเองจะมีเรือรบแบบนี้
แต่การบังคับเรือรบ จำเป็นต้องใช้หินพลังจิตจำนวนมาก นักยุทธ์ทั่วไป ไม่มีทางดูแลได้ มีเพียงมรดกของราชวงศ์ตระกูลฝานเท่านั้น ที่สามารถดูแลเรือรบสองลำนี้ได้
เมื่อผ่านการโจมตีของราชาสิงห์ปีกทอง ระยะเวลาสองสามวันต่อมา เรือรบก็เจอการโจมตีของอสูรกายอีกสามครั้ง
อสรูรกายที่กล้ามาโจมตีเรือรบ อย่างน้อยก็อยู่ในระดับ5 หนึ่งในนั้นมีวิหคยักษ์ทองเขียวขั้น 5 ตัวหนึ่ง ต้านทานการโจมตีของปืนใหญ่พลังดั้งเดิมได้ แค่บาดเจ็บเท่านั้น เมื่อสยายปีกทั้งสองข้าง ก็บินไปอย่างไร้ร่องรอย เรือรบตามไม่ทัน
“หลัวซิว ท่านชินหวางให้นายไปหาหน่อย” วันนี้ หลัวซิวพักผ่อนอยู่ในห้อง นักค่ายกลที่ตามมาบนเรือรบคนหนึ่ง เดินมาบอกหน้าประตูห้องหลัวซิว
จากนั้นไม่นาน หลัวซิวมาถึงดาดฟ้าเรือ หนานหรงชินหวางนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองเขาพร้อมรอยยิ้ม
“นั่งสิ” หนานหรงชินหวางชี้ไปที่ตรงข้ามตัวเอง
การเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ แถมยังเป็นท่านอ๋องของราชวงศ์ตระกูลฝานแห่งประเทศเทียนหวู จากตำแหน่งและอำนาจอันสูงส่งของหนานหรงชินหวาง ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของประเทศเทียนหวู น้อยคนนักที่จะได้นั่งกับเขา
แต่หลัวซิวในสายตาของเขา กลับแตกต่างออกไป ถึงยังหนุ่มมาก ผลการฝึกตนไม่สูง แต่กลับมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเติบโตขึ้นมาได้ ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในยุค และจะเหนือกว่าตัวเองด้วย
หลัวซิวเอ่ยขอบคุณ และนั่งลงตรงข้ามหนานหรงชินหวาง
ตอนนี้มีหนุ่มสาวอัจฉริยะ เดินออกจากห้อง เพื่อมาชมวิวข้างทางที่ดาดฟ้าเรือ เห็นหลัวซิวนั่งกับหนานหรงชินหวาง ต่างก็มีสีหน้าอิจฉา
“หนานหรงชินหวางไร้มารยาทจริงๆ แค่ราชายุทธ์ของราชวงศ์ตระกูลฝานธรรมดาๆ แต่กลับไม่เชิญเจ้าสำนักน้อยไปนั่งด้วย แต่กลับให้ความสำคัญกับไอ้คนต่ำต้อย”
นางสนมข้างกายถาวโจว่จวิ้นสองคน พูดอย่างไม่สบอารมณ์
นายน้อยตำหนักจื่อ ส่งเสียงหึออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม ปรายตามองหลัวซิวด้วยแววตาอาฆาต
ตำหนักจื่อไม่ได้มีเจ้าสำนักน้อยเพียงคนเดียว เจ้าตำหนักในปัจจุบันมีสนมเยอะมาก เวลาสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มีลูกสาวลูกชายหลายสิบคน
มีลูกชายเยอะ แต่คุณสมบัติพรสวรรค์ฝึกตน ดีบ้างไม่ดีบ้าง มีเพียงการฝึกถึงแดนฝึกจิต ถึงจะมีคุณสมบัติให้เรียกว่าเจ้าสำนักน้อย
ตอนนี้ตำหนักจื่อ มีเจ้าสำนักน้อยทั้งหมดเก้าคน ถาวโจว่จวิ้นอยู่ในลำดับที่เก้า อายุน้อยที่สุด พี่ชายทั้งแปดคนของเขา อายุเกินสามสิบทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าแดนปริศนาได้
ในสายตาของนักยุทธ์ทั่วไป ฐานะของเจ้าสำนักน้อยเก้าสูงส่งมาก แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ นับประสาอะไรไม่ได้เลย การที่หนานหรงชินหวางไม่เห็นเขาในสายตา จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ ล้วนมีอายุขัยเป็นร้อยเป็นพันปี มีสายเลือดผลิดอกออกผล ทายาทของลูกชายนับไม่ถ้วน แต่คนที่ได้รับความสำคัญบวกกับการเลี้ยงดูอบรมอย่างแม้จริง มีจำนวนน้อยมาก
“อัจฉริยะไร้เทียมทาน ที่หาได้ยากในรอบหลายปีของประเทศเทียนหวูงั้นเหรอ ในสายตาของฉัน ก็แค่ขยะเท่านั้น”
########################