บทที่ 269 อาจารย์เฟยหยางออกโรง
มีเงาคนแต่ละคน ปรากฏออกมาจากแท่นวาร์ป คนที่มีชีวิตรอดอยู่ในแดนปริศนา ราวกับถูกส่งออกมาพร้อมกัน
หลัวซิวกับปี้เซียนเสว่ก็อยู่ในนั้นด้วย หลงหมิงย่อขนาดตัวลง ซ่อนตัวหลอมรวมกับพื้นที่ว่างอย่างระมัดระวัง
“มีคนแค่นี้เองเหรอ”
“ปีก่อนถึงมีคนตายไปไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคนรอดชีวิตออกมาเกินครึ่งสิ”
“130 กว่าคน เสียไปตั้ง 100 กว่าคนเลยเหรอ”
“มีอะไรเกิดขึ้นในแดนปริศนากันแน่”
เมื่อเห็นคนประมาณ 30 กว่าคน ปรากฏตรงแท่นวาร์ปโบราณ ราชายุทธ์สิบกว่าคน ของสี่อำนาจใหญ่อย่างราชวงศ์ตระกูลฝาน ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหอ ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา
ตัวสำนึกอันแข็งแกร่ง ผ่านไปยังทุกคนบนแท่น ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของตำหนักจื่อกับราชวงศ์ตระกูลฝาน จู่ๆ สีหน้าอึมครึมจนน่ากลัว
คนของอำนาจใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่เข้าไปในแดนปริศนา ไม่มีใครรอดออกมาสักคน ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น หรือผู้อาวุโสฝึกจิตขั้น9
สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ สูญเสียคนไปไม่มากเท่าไร แต่คนสำคัญภายในนั้น ไม่มีใครออกมาสักคน กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ก็ไม่อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น
อีกทั้งผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ทุกคน ผลการฝึกตนสูงเกือบจะถึงแดนสูงสุด ตอนถูกวาร์ปออกมา พละกำลังล้วนต่ำกว่าฝึกจิตขั้น5 ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เสี่ยง จึงมีชีวิตรอด
“พวกนายมานี่”
ราชายุทธ์สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ เรียกลูกศิษย์ที่วาร์ปออกมา
ครั้งนี้สูญเสียคนไปในแดนปริศนาเยอะมาก ทำให้อัจฉริยะที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ของอำนาจใหญ่ต่างๆ ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก
เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต้องนำความสั่นสะเทือนอันรุนแรงมาแน่นอน พวกเขาต้องตรวจสอบให้ชัดเจน
ขณะนั้น ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 ของราชวงศ์ตระกูลฝาน ลอยมากลางอากาศ ยื่นมือเข้าไปหาปี้เซียนเสว่ที่อยู่ข้างหลัวซิว
ตอนพวกเขาถูกวาร์ปส่งออกมา ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 คนนี้ ใช้ตัวสำนึกเพ่งเล็งปี้เซียนเสว่เอาไว้นานแล้ว
ดังนั้นหลัวซิวจึงตัดสินได้อย่างไม่ต้องสงสัย ต้องเป็นคนๆ นี้ ที่วางวิชาสยบวิญญาณเอาไว้ในตัวหยั่งรู้ของปี้เซียนเสว่
ฝ่ามือใหญ่พลังจิตแท้คว้ามากลางอากาศ ภายใต้การกดดันของตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ปี้เซียนเสว่แค่ขยับนิ้วก็ยังทำไม่ได้ ไม่มีแรงต่อต้าน สีหน้าตกใจจนซีดเผือด
“หยุดนะ!”
หลัวซิวขยับเท้าไปทางขวาง ยืนอยู่ข้างหน้าปี้เซียนเสว่ จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป
ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 ของราชวงศ์ตระกูลฝานท่านนี้ ชื่อว่าฝานเฟยหยาง มีตำแหน่งความน่าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ในราชวงศ์ตระกูลฝาน
เพราะในประเทศเทียนหวู จำนวนปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 มีไม่เกิน 20 คน
ไม่เพียงแค่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 ปรมาจารย์ที่สามารถมาถึงขั้น5 ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยา ปรมาจารย์หลอมอาวุธ ล้วนมีตำแหน่งน่าเลื่อมใสอย่างมาก เหนือกว่าราชายุทธ์ทั่วไป
เมื่อเห็นฝานเฟยหยางลงมือกับผู้หญิงที่วาร์ปออกมาจากแดนปริศนา คนที่อยู่ตรงนี้ ต่างมีสีหน้าตกใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
แต่ทว่าหลัวซิวยื่นมือไปโจมตีกลับ ไม่ได้ทำให้ทุกคนตกใจ แต่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้ว!
ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 แม้ไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์
คนอายุน้อยตัวเล็กๆ ที่มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิต กล้ายั่วยุราชายุทธ์อย่างนั้นเหรอ
“คนไม่รู้ความเป็นความตาย”
ฝานเฟยหยางแววตาดุร้าย ตอนหลัวซิวลงมือ เขารู้ว่า ไอ้เด็กนี่เอาการควบคุมสยบวิญญาณของตัวเองไป
ถึงการควบคุมสยบวิญญาณของตัวเอง จะโดนชิงไป ทำให้ฝานเฟยหยางโมโหมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ตกใจ เพราะเขาอยากเอาวิธีชิงสยบวิญญาณมาไว้ในมือตัวเอง
ดังนั้น ฝานเฟยหยางไม่จับตาย แต่จะจับเป็นเด็กคนนี้
“ตู้ม!”
เสียงอึกทึกดังขึ้นกลางอากาศ หมัดของหลัวซิวปะทะกับฝ่ามือพลังจิตแท้อย่างรุนแรง จนทำให้พลังจิตสั่นสะเทือน เหมือนลมอันบ้าคลั่ง พัดไปรอบด้าน ทำให้นักยุทธ์ที่ถูกส่งออกมาจากแดนปริศนายืนไม่ติด และถอยกรูดไปด้านหลัง
ฝ่ามือพลังจิตแท้สลายตัว หลัวซิวถอยไปครึ่งก้าว บนหมัดขวา มีเลือดเนื้อผสมกัน
ร่างยุทธ์สูงสุด เป็นแดนร่างเนื้อของระดับฝึกจิต ถึงแดนขั้นสุดแล้ว แต่ก็ไม่เพียงพอให้ต่อกรกับราชายุทธ์
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้คนในนี้ตกใจได้
“เป็นเขาเหรอ”
ขณะเดียวกัน ทุกคนที่นี่ก็จำหนุ่มชุดคลุมดำได้
หลัวซิว อัจฉริยะในรอบหลายปี ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในสองปีนี้ ของประเทศเทียนหวู อายุแค่ 15 ปี ผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น1 ก็ฝ่าฟันหอคอยมังกรบินชั้น7 !
“อาจารย์เฟยหยาง จากฐานะของคุณ กลับทำร้ายผู้น้อย หมายความว่าอย่างไร” ราชายุทธ์ของสำนักฉางเหอพูดเสียงอึมครึม
ระหว่างพูด ราชายุทธ์คนนี้ ยิ้มบางๆ ให้หลัวซิว แสดงถึงเจตนาดี
เป็นราชายุทธ์ฐานะสูงสง แต่กลับแสดงเจตนาดีต่อผู้น้อย แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะพละกำลังและพรสวรรค์ ที่หลัวซิวแสดงออกมา ถ้าเอาอัจฉริยะแบบนี้เข้ามาในสำนักได้ เติบโตขึ้นมาในอนาคต ในสำนักต้องมีผู้แข็งแกร่งเกิดขึ้นอีกคนแน่นอน
การบ่มเพาะอัจฉริยะอายุน้อย เป็นเรื่องที่อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญมาตลอด
“หึ ข้าไม่ได้ทำร้ายเขา ข้าต้องการคนที่อยู่ข้างเขาต่างหาก” ฝานเฟยหยางพูดเสียงเย็นชา “ผู้หญิงคนนี้ชื่อปี้เซียนเสว่ เป็นศิษย์วิทยาลัยพระวงศ์ของฉัน ข้าสงสัยว่าศิษย์ของราชวงศ์ตระกูลฝาน ตายไปจำนวนมากในแดนปริศนา อาจเกี่ยวข้องกับเธอ จึงมาเอาตัวเธอด้วยตัวเอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของฝานเฟยหยางไม่เปลี่ยน มองหลัวซิวเย็นชา “นายขวางการจับคนของข้า คิดอะไรอยู่กันแน่ หรือว่าศิษย์ของราชวงศ์ตระกูลฝานตายไปจำนวนมาก ก็เกี่ยวกับนายด้วย”
เขาไม่พูดถึงเรื่องสยบวิญญาณสักคำ เพราะถ้าวิธีการควบคุมสยบวิญญาณหลุดออกไป ชื่อเสียงของราชวงศ์ตระกูลฝานต้องเสียหายแน่นอน ต่อไปอัจฉริยะคนไหนจะกล้าเข้ามาในวิทยาลัยพระวงศ์ เพื่อขายชีวิตให้ราชวงศ์อีกล่ะ
ดังนั้นฝานเฟยหยางจึงสร้างเหตุผลขึ้นมาเป็นข้ออ้าง แต่ในความเป็นจริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ ว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง
คนของราชวงศ์ตระกูลฝาน เข้าไปในแดนปริศนา โดยส่วนใหญ่ก็โดนหลัวซิวกำจัดด้วยมือตัวเอง
“ผู้อาวุโสไม่มีหลักฐานอะไร อย่ามาใส่ร้ายคนอื่น” หลัวซิวไม่ยอมรับอยู่แล้ว
“ในเมื่อไม่ใช่นาย แล้วนายจะปกป้องเธอทำไม จะอธิบายยังไง” ฝานเฟยหยางถามเย็นชา
“เซียนเสว่เป็นอัจฉริยะขององค์กรนักล่ายุทธ์เหมือนฉัน ฉันปกป้องเธอ ทำไมต้องอธิบายด้วย”
หลัวซิวก็แสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “อีกทั้งตอนนี้เธอไม่ใช่ศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์แล้ว ใช่ไหมเซียนเสว่”
“ใช่ ฉันออกจากวิทยาลัยพระวงศ์แล้ว ไม่ใช่ศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์อีกแล้ว” ปี้เซียนเสว่พูดขึ้นทันที
“บังอาจ! เธอจะเข้าจะออกวิทยาลัยพระวงศ์ยังไงก็ได้เหรอ” แววตาฝานเฟยหยางฉายแววอาฆาต
หลัวซิวทำเหมือนไม่สนใจ แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ฉันว่าผู้อาวุโสกับฉัน ต่างรู้ดีแก่ใจ”
เรื่องเกี่ยวกับสยบวิญญาณ หลัวซิวไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เพราะกังวลว่าราชวง์ตระกูลฝานจะไม่สนใจอะไร และฆ่าคนปิดปาก
เมื่อพูดออกมา ฝานเฟยหยางสีหน้าอึมครึมทันที รู้ถึงการข่มขู่ จากคำพูดของหลัวซิว เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องสยบวิญญาณ เพราะที่นี่ยังมีคนของตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหอ
ถ้าไม่มีคนนอกอยู่ที่นี่ เขาคงลงมือไปนานแล้ว ไม่มาพูดไร้สาระหรอก
########################