แสงสายัณห์เข้มข้น
หลินสวินหยุดยืนอยู่นอกเมือง หันกลับไปมองเมืองแสงอุดรที่กว้างใหญ่นั่น อาณาบริเวณกว่าครึ่งล้วนล่มสลายกลายเป็นซากปรักหักพังถล่มทลาย
อานุภาพของสมบัติอริยะน่าหวาดกลัวเหลือเกิน หลินสวินรู้ดีว่าเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือตนมากสุดก็สำแดงอานุภาพได้แค่หนึ่งในหมื่น
แต่แม้อานุภาพแค่นั้นกลับยังเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
แสงสลัวรางตามธรรมชาติ ลมหนาวพัดผ่าน เจือกลิ่นควันและโลหิต
เสี่ยวอิ๋นหวนกลับมา ศีรษะที่เชิดหยิ่งเสมอมากลับก้มลงเล็กน้อย คล้ายสร้อยเศร้าอยู่บ้าง “นายท่าน หนีไปได้สองคนขอรับ”
หลินสวินชะงักไปก่อนกล่าว “เพียงพอแล้ว”
“แต่สำหรับข้ากลับเป็นความอัปยศ!” ใบหน้างามหาใดเปรียบของเสี่ยวอิ๋นเผยความไม่พอใจวูบหนึ่ง กำหมัดแน่นกล่าว “ต่อไปข้าจะไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก!”
พูดพลางเขากลายเป็นแสงเงินหวนสู่ห้วงนิมิต
เจ้าตัวน้อยนี่หยิ่งทะนงหาใดเปรียบ รักศักดิ์ศรียิ่งชีวิต การปฏิบัติตามคำสั่งยิ่งมีเงื่อนไขละเอียดลออกว่าหลินสวิน
พอเห็นเขาโกรธเช่นนี้ หลินสวินนอกจากสะท้อนใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่รู้ว่าเสี่ยวอิ๋นคงอุปนิสัยเช่นนี้บำเพ็ญเพียรต่อไป จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
หลินสวินสูดหายใจลึกไม่คิดมากอีก สายตาเขากวาดมองซากปรักหักพังทั้งแถบนั่น ในใจตั้งปณิธาน
‘สักวันหนึ่งหากข้าหลินสวินก้าวอยู่บนมหามรรค จะต้องนำมหาโชคมาที่นี่ ปลดปล่อยจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ณ ที่แห่งนี้ รักษาสันติสุขตราบนิรันดร์!’
ทันทีที่เอ่ยปณิธานเช่นนี้ หลินสวินพลันมีความรู้สึกอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ความละอายในสภาวะจิตถูกพลังบริสุทธิ์แน่วแน่ขจัดสิ้น เปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว ว่างเปล่าไร้มลทิน
‘นี่อาจเป็นแรงปรารถนาสายหนึ่ง เล่าลือว่าอริยบุคคลที่ก้าวสู่อริยมรรคต่างต้องตั้งปณิธานมหามรรค มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถหลอมมรรคผลศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ดับสลาย…’
หลินสวินเหมือนคิดอะไรได้
นอกเมือง ผู้ฝึกปราณมากมายหลบซ่อนอยู่ห่างไกล สายตาจับจ้องบนร่างหลินสวินโดยไม่มีข้อยกเว้น
ก่อนหน้านี้เกิดศึกใหญ่สะเทือนใต้หล้า ศิษย์แกนหลักหลายคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถูกกำราบ กลุ่มผู้สืบทอดคนอื่นๆ ก็เกือบพินาศทั้งกองทัพ นี่ต้องนำมาซึ่งความปั่นป่วนโกลาหลแน่
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างไม่อาจนิ่งสงบ จิตใจอลหม่าน สามารถคาดเดาได้เลยว่าข่าวนี้ต้องสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทำให้ทั้งแคว้นกู่ชางโกลาหล
อีกทั้งเดิมทีก็ปิดไม่อยู่สิ้นเชิง ทุกสายตาจับจ้อง คนมากมายล้วนมองเห็น แม้แต่เมืองแสงอุดรยังถูกทำลายเกินครึ่ง เรื่องเช่นนี้ไม่อาจปกปิดได้แต่แรก
หลายวันก่อนแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เปิดฉากไล่ล่าเทพมารหลิน บัดนี้กลับถูกสังหารเกลื่อนพ่ายแพ้ไม่เป็นขบวน ราวกำลังฉีกหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!
เทพมารหลินที่อยู่ไกลออกไปแม้ท่าทางสง่างามพ้นโลกีย์ แต่กลับถูกผู้คนตีตราว่าเป็นเทพมาร
นี่คือเด็กหนุ่มเทพมารที่แท้จริง ทรงพลังเกินไปแล้ว!
ทว่าพวกเขาเองคลางแคลงเช่นกัน ยามแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทราบข่าวพวกนี้ เทพมารหลินจะสามารถรอดชีวิตต่อไปหรือไม่
แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ถือเป็นสำนักโบราณที่ชื่อเสียงเด่นดังทั่วแดนชัยบูรพา หาเรื่องพวกเขา แม้ใต้หล้ากว้างใหญ่ก็เกรงว่าคงไร้ที่ให้เด็กนี่ซ่อนตัวอีก
“ทุกท่าน ยังดูเรื่องสนุกไม่พอรึ” หลินสวินหันกลับไป นัยน์ตาดำขลับล้ำลึกกวาดมองเหล่าผู้ฝึกปราณนั่น
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณไม่น้อยในใจเครียดเกร็ง หันหลังจากไปทันที
ทว่ามีผู้ฝึกปราณอีกมากไม่ขยับ เมืองแสงอุดรนี้แม้ไม่กว้างใหญ่ แต่ก็มีผู้แข็งแกร่งทรงอิทธิพลรุ่นอาวุโสไม่น้อยมองเห็นศึกใหญ่ครั้งนี้ คนส่วนหนึ่งจึงจับจ้องเจดีย์สมบัติของหลินสวิน
นี่เป็นถึงสมบัติอริยะ!
ไม่ว่าใครเห็นล้วนไม่อาจไม่ใจสั่น เพียงแต่ไม่มีคนกล้าทำอะไรผลีผลาม พลังต่อสู้ของหลินสวินเมื่อครู่พวกเขาล้วนเห็นอย่างชัดแจ้ง ในใจต่างหวาดกลัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
หลินสวินไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ ทะยานไปที่ห่างไกล
ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรของเขายังกักขังศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์สี่คนอย่างหลิงหงจิน เสวี่ยเชียนเหิน จางเจิง อวี้เป๋าเป่าไว้
สาเหตุที่ไม่สังหารเพราะมีประโยชน์อื่น
‘ช่างรนหาที่ตาย…’ ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นว่าด้านหลังตนมีเงาร่างผู้ฝึกปราณไม่น้อยตามมา นี่ทำให้ในใจเขาพลันเกิดจิตสังหาร
“ทุกท่าน พวกเจ้าห่วงว่าข้าจะถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แก้แค้น จึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปพร้อมข้าเพื่อต่อกรแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วยกันหรือ” หลินสวินหยุดยืนหันกลับมาถาม
ทันทีที่กล่าววาจานี้ออกไป ผู้ฝึกปราณไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาไม่อยากถูกลากลงน้ำไปด้วย ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เห็นเป็นพวกเดียวกับเทพมารหลิน
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนเลือกล่าถอยเด็ดขาด แม้สมบัติอริยะจะดีแต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิต
และมีพวกอวดเก่งไม่ยอมแพ้ ยังคงตามติดหลังหลินสวิน
สมบัติอริยะหายาก มีวาสนาจึงพบพาน ต่อให้เป็นอริยะมาเจอก็ต้องยื่นมือช่วงชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย
เพียงแต่ที่พวกเขาไม่ลงมือทันทีเพราะกำลังใช้วิชาลับเรียกพวกพ้อง คิดรวมพลังจนเพียงพอค่อยสังหารหลินสวิน
หลินสวินเห็นดังนั้นพลันหันกลับ ไม่ลังเลอีก เรียกดาบหักออกมาพิฆาตสังหาร
ต้องรู้ว่าในการประลองกับพวกเสวี่ยเชียนเหินก่อนหน้า หลินสวินล้วนไม่เคยใช้ดาบหัก ใครเล่าจะคิดว่านี่ต่างหากคือมรรคสังหารที่แท้จริงของเขา
ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณซึ่งตามมาหน้าสุดถูกสังหารคาที่ ฝนโลหิตซ่านเซ็น เสียงร้องโหยหวนก้องฟ้าดินทำเอาผู้คนขนพองสยองเกล้า
“คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร ทางที่ดีทุกท่านลองชั่งใจว่าทำเช่นนี้คุ้มค่าหรือไม่” พูดจบหลินสวินก็หันหลังจากไป
“เจ้าเด็กนี่ฝีมือเหี้ยมโหดนัก!”
“เฮ้อ นั่นน่ะสมบัติอริยะเชียวนะ…”
“ไปเถอะ เด็กนี่สามารถสยบคนในขอบเขตมกุฎได้อย่างง่ายดาย นอกเสียจากสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันลงมือเอง ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจถูกกำราบ”
สุดท้ายเหล่าผู้ฝึกปราณที่เจตนาไม่ซื่อก็หยุดเท้า ไม่กล้าไล่ตามอีก
ผ่านไปครึ่งเค่อ
กลางเทือกเขาทอดยาวแถบหนึ่ง หลินสวินพลันหยุดเดินหันหลังกล่าว “เจ้าเฒ่าออกมาเถอะ ข้ากำลังมีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
รอบด้านเงียบสงัด ว่างเปล่าไร้ผู้คน
ฟุ่บ!
แต่หลินสวินกลับไม่งุนงงแม้เพียงนิด ดาบหักพุ่งออกมาดั่งรุ้งเทพสีเงิน โฉบบินไปยังจุดหนึ่งกลางอากาศ
“เจ้าถึงกับหาข้าพบ?” ไม่รอให้ดาบหักเข้าประชิด เงาร่างขมุกขมัวหนึ่งทะยานออกมา สีหน้าเคร่งขรึมระคนประหลาดใจ
นี่คือชายกลางคนร่างผอม เบ้าตาบุ๋มลึกผู้หนึ่ง กลิ่นอายทรงพลังยิ่ง เป็นเหวินสิงโจวราชันกึ่งระดับที่เคยจู่โจมหลินสวินมาก่อนผู้นั้น!
หลินสวินไม่มีทางบอกเขาว่าตั้งแต่ออกจากเมืองแสงอุดร พลังจิตรับรู้ที่บรรลุ ‘ดอกเทพรวมยอด’ ขั้นแรกของเขาก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว
“คราวก่อนเจ้าพ่ายแพ้ ครั้งนี้เจ้าก็ไร้โอกาสพลิกสถานการณ์ ทว่าข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่มีเรื่องหนึ่งให้เจ้าทำ” หลินสวินกล่าวราบเรียบ
เหวินสิงโจวสีหน้าคล้ำเขียว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาราชันกึ่งระดับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ผู้สง่างาม ถูกคนเหยียดหยามและออกคำสั่งเช่นนี้
แต่สถานการณ์บีบบังคับ ทำให้เขาจำต้องอดกลั้นกล่าวเย็นชา “ข้ายอมรับ คิดสังหารเจ้าเป็นเรื่องยากนัก แต่เจ้าคิดว่านี่จะสั่งข้าได้รึ”
หลินสวินไม่ใส่ใจความเดือดดาลในคำพูดเขา พูดเองเออเอง “กลับไปบอกฉู่เป่ยไห่ ข้าจะรอเขาที่เมืองวายุทราย จำไว้ว่าให้นำยันต์ผนึกต้องห้ามที่เปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมาด้วย ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ชาตินี้อย่าหวังจะได้เจอศิษย์แกนหลักอย่างพวกเสวี่ยเชียนเหินอีกเลย”
“ที่แท้เจ้าจับตัวพวกเชียนเหินเพื่อการนี้!” เหวินสิงโจวเข้าใจทันที สีหน้าพลันอึมครึมหาใดเปรียบ
“จำไว้ มีเพียงฉู่เป่ยไห่คนเดียวที่มาได้ หากข้าพบว่ามีผู้มีปราณเหนือระดับราชันออกเคลื่อนไหว ข้าจะสังหารพวกเขาทันที” หลินสวินกล่าวราบเรียบ
เขาเชื่อว่ามีชีวิตพวกเสวี่ยเชียนเหินศิษย์แกนหลักทั้งสี่ในกำมือ แม้ฝ่ายตรงข้ามแค้นถึงขีดสุดก็ไม่อาจไม่ก้มหัว!
เหวินสิงโจวสีหน้าแปรปรวนไม่หยุด
เหมือนที่หลินสวินคาด เขาก็รู้ดีว่าหากมีโอกาสแลกชีวิตพวกเสวี่ยเชียนเหินกลับคืน แม้สำนักจะเดือดดาลแค่ไหนก็ต้องเลือกรับเงื่อนไขของหลินสวิน ทว่าวิธีการเช่นนี้ช่างน่าอัปยศ
เพราะศิษย์แกนหลักแต่ละคนต่างเป็นเลือดเนื้อจิตใจของสำนัก สูญเสียไปเพียงคนเดียวก็สามารถนำมาซึ่งผลกระทบหนักหน่วงไม่อาจประเมินได้
ถึงอย่างไรหากสำนักหนึ่งคิดหมายยืนหยัดต่อไป ก็ต้องมีคนเลือดใหม่ที่มากพอและแข็งแกร่งพอ
และพวกเสวี่ยเชียนเหินต่างเป็นบุคคลที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ หายากแม้แต่หนึ่งในหมื่น กล่าวได้ว่าพวกเขาคือตัวแทนอนาคตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!
“ต่อให้สุดท้ายเจ้าสามารถรอดชีวิตจากแคว้นกู่ชาง แต่เจ้าอยู่ได้ไม่นานก็ต้องถูกฆ่าแน่!” เหวินสิงโจวกัดฟันกรอด
“ในเมื่อข้ากล้าทำเช่นนี้ยังจะกลัวเรื่องพวกนี้หรือ” หลินสวินกล่าวอย่างไม่สนใจ
“ไอ้เด็กสวะ เจ้ารอก่อนเถอะ หากไม่กลายเป็นราชันสุดท้ายเจ้าก็ไม่อาจควบคุมชะตาตัวเอง พลังของสำนักโบราณแห่งหนึ่งหาใช่สิ่งที่ปลวกมดเยี่ยงเจ้าสามารถต้านทาน!” เหวินสิงโจวกล่าวเหี้ยมเกรียม
“เหอะๆ” หลินสวินหัวเราะกล่าว “แต่หากวันหนึ่งข้าก้าวสู่ระดับมกุฎราชัน เจ้ายังจะกล้าพูดเช่นนี้กับข้ารึ”
หว่างคิ้วเขาเผยความเยียบเย็นวูบหนึ่ง “ว่ากันตามจริงก็แค่รังแกข้าที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะไปเยือนประตูหน้าของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ด้วยตัวเอง ดูสิว่าพวกเจ้ายังจะสามารถขวางหนทางของข้าหลินสวินได้หรือไม่!”
พูดจบเขาก็หันหลังจากไป
“ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!” เหวินสิงโจวสีหน้าเขียวคิดไล่ตามไป แต่สุดท้ายก็หยุดเท้า ด้วยกังวลว่าจะยั่วโทสะหลินสวิน
ขณะเดียวกันในใจเขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง
ศักยภาพแฝงของหลินสวินน่าหวาดกลัวเหลือเกิน เพิ่งมีปราณระดับกระบวนแปรจุติก็มีพลังกำราบบุคคลขอบเขตมกุฎในรุ่นเดียวกัน หากภายหน้าเขากลายเป็นราชันกลายเป็นอริยะ จะร้ายกาจขนาดไหน
‘ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้สำนักโดยด่วน!’ เหวินสิงโจวรู้ว่าสถานการณ์รุนแรง จึงไม่กล้ารีรออีกเพียงเสี้ยว หันหลังจากไปทันที
สวบ!
อีกทิศทางหนึ่ง หลินสวินเรียกยานขนส่งอวกาศออกมา บินทะยานไปทางเมืองวายุทรายเต็มกำลัง
เขาต้องชิงไปถึงหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณนั่นก่อน ป้องกันไม่ให้ที่นั่นถูกศัตรูวางตาข่ายดัก
ขอแค่ทำได้ถึงขั้นนี้ หนทางออกจากแคว้นกู่ชางก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
‘ครั้งนี้สังหารผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มากขนาดนั้น สำนักโบราณนี่คงโกรธจนแทบคลั่ง…’
แม้รู้ดีว่าสถานการณ์รุนแรงนัก แต่ในใจหลินสวินกลับไม่มีความหวั่นหวาดแม้แต่น้อย ขอแค่ออกจากแคว้นกู่ชาง ภัยคุกคามจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็จะอ่อนกำลังลงไม่น้อย
อีกทั้งหลินสวินแน่ใจนัก เพื่อรักษาหน้า ฝ่ายตรงข้ามอย่างมากก็ได้แค่ส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาจัดการตน
สำหรับอริยะ…
แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คงไม่โง่จนถึงขั้นเชิญผู้ดำรงในระดับนี้มาลงมือ
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากขายหน้าเกินไป หากถูกสำนักอื่นในแดนชัยบูรพารู้เรื่องเข้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต้องเสียหน้าแน่
ถึงอย่างไรให้อริยะคนหนึ่งไปสังหารผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติก็เป็นเรื่องไร้สาระมาก จะเห็นได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไร้น้ำยา!
ดังนั้นคราวนี้หลินสวินจึงมุ่งหน้าไปเมืองวายุทรายอย่างไม่กังวลอะไร แม้อีกฝ่ายส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาดักสังหาร เขาก็มีวิธีรับมือ
ก่อนหน้านั้น ฝ่ายตรงข้ามต้องกล้าทำเช่นนั้นจริง!
………………..