เหยียนเยว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ นางรู้ดีว่าในตอนนี้นางไม่สามารถฆ่าเจ้าตำหนักจื่อคนนี้ได้ ความอบอุ่นจากฝ่ามือของนาง จิตสังหารที่เอ่อเต็มหัวใจของนางค่อย ๆ จางหายไป
แม้ว่านางจะได้ยับยั้งเจตนาฆ่าเอาไว้แล้ว แต่ก็ถูกเจ้าตำหนักจื่อคนนั้นสัมผัสได้อยู่ดี สายตาที่สง่างามมองไปทางด้านนี้อย่างเย็นชา
เจ้าตำหนักจื่อคนนี้ ฝึกตนมานานกว่าสี่ร้อยปี แต่ดูเหมือนชายวัยกลางคนในวัยสามสิบ หว่างคิ้วแสดงถึงความเคร่งขรึม มีนิสัยแบบพวกเอาแต่ใจ คือใครก็ตามที่เชื่อฟังเขาจะได้อยู่สุขสบาย แต่ใครก็ตามที่กบฏต่อเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับดาบคม ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะสบตากับเขา
แต่ไม่ใช่กับหลัวซิว เพราะเหยียนเยว่เอ๋อร์คือผู้หญิงของเขา ความเคียดแค้นฝังลึกนี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องแบกเอาไว้บนบ่าของเขาและเผชิญหน้ากับมันด้วย
คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบเจ็ดปี เป็นวัยรุ่นเลือดร้อนและเอาแต่ใจเป็นที่สุด
อีกคนหนึ่งฝึกตนนานกว่าสี่ร้อยปี เป็นผู้สูงศักดิ์ที่อยู่มาช้านาน ตาเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนมากเกินคำบรรยาย
ฉากการเผชิญหน้าดังกล่าว ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้เคียง
“เจ้าหนูน้อยใจกล้า!” ชายชราหลังหลังค่อมในชุดธรรมดาพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อมองดูเสื้อผ้าของเขา เขาดูเหมือนชาวนาแก่ ๆ ในชนบท
ราวกับว่า เขากำลังชื่นชมหลัวซิวที่กล้าเผชิญหน้ากับเจ้าตำหนักจื่อ ดังนั้นจึงเอ่ยปากชมเขาโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะเป็นการไม่ไว้หน้าเจ้าตำหนักจื่อหรือไม่
มีราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ไม่รู้จักชายชราหลังค่อมคนนี้ แต่เหล่าจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งผู้นำจากมหาอำนาจทุกฝ่าย ต่างก็แสดงแววตาสั่นไหวออกมาเล็กน้อย
เพราะชายชราที่ดูธรรมดาคนนี้ แต่กลับเป็นถึงตาเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งที่มีอายุไม่ต่ำกว่าพันปี นามว่าฉิวหนานซาน
“เฆ่าประหลาดฉิว เราอยู่อย่างสงบมาตลอด” เจ้าตำหนักจื่อหันหน้าไปทางตาแก่หลังค่อมและเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
ฉิวหนานซานคนนี้ จักรพรรดิยุทธ์ที่รู้จักเขาต่างก็เรียกเขาว่า‘เฆ่าประหลาดฉิว’ เป็นแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่เหมือนกัน เจ้าตำหนักจื่อถึงแม้จะกังวล แต่ก็ไม่ได้กังวลจนมากเกินไป
“เอาล่ะ ทิ้งความคับข้องใจส่วนตัวของทุกท่านไว้ก่อน กระแสน้ำวนแห่งปริภูมินี้ จำเป็นต้องให้พวกเราจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนร่วมมือกันทำลาย ข้าไม่คิดว่าจะมีใครอยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อจริงหรือไม่?”
จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดขึ้นในเวลานี้
“หัวหน้าแก๊งหยวนเฉิงพูดถูก หากไม่ใช่ว่ากระแสน้ำวนแห่งปริภูมินี้ยากที่จะเปิดออก ข้าเองก็คงจะไม่รอให้พวกเจ้ามาแย่งชิงเป็นแน่” เจ้าสำนักเสวียนหยางที่สวมหน้ากากครึ่งหน้าสีทองเอ่ยปาก
เห็นว่าทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง จากนั้นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งยี่สิบคน โดยการนำของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เจ้าตำหนักจื่อ เจ้าสำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ ก็มารวมตัวกัน สู่ความมืดมิดในกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิเบื้องล่าง
ใกล้ ๆ กับกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิ พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยวอย่างมาก หากปรมาจารย์ฝึกจิตเดินเข้าไป เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอไป ก็จะโดนพื้นที่บิดเบี้ยวนี้บีบอัดจนตาย ร่างกายแตกเป็นละอองเลือด
แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนแล้ว ความบิดเบี้ยวของพื้นที่ระดับนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะทำอันตรายต่อเกราะพลังจิตแท้ของพวกเขาได้
“ทุกท่าน เริ่มกันเลยเถอะ” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดออกมาช้า ๆ ทันทีที่มือขึ้นจับ ความสุกใสในฝ่ามือก็ส่องประกาย ขวานสีน้ำเงินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
ในบรรดานักยุทธ์ อาวุธส่วนใหญ่ที่ใช้คือ ดาบ หอก และง้าว มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้ขวาน โดยทั่วไปแล้วอาวุธที่มีน้ำหนักมากพวกนี้ ต่างก็เป็นนักยุทธ์กลั่นร่างเท่านั้นจึงจะสามารถเลือกได้
เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงท่านคนได้เป็นผู้ควบคุมองค์กรนักล่ายุทธ์สำนักงานใหญ่ในประเทศหนึ่งนั้น ไม่เพียงแค่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่เท่านั้น แต่ยังเป็นนักยุทธ์กลั่นร่างคนหนึ่งอีกด้วย
จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งยี่สิบคนเข้าประจำที่ เรียงตามระดับผลการฝึกตน จักรพรรดิยุทธ์แห่งแดนขั้นสูงขั้นสี่ มีเพียงจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงคนเดียว
อ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อยอย่างเจ้าตำหนักจื่อ เจ้าสำนักเสวียนหยาง และเจ้าสำนักฉางเหอ อีกทั้งเฆ่าประหลาดฉิวและแดนราชายุทธ์ขั้นสี่
ตามด้วย จักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม 4 คน แบ่งเป็นผู้อาวุโสตำหนักจื่อและสำนักฉางเหอ รวมถึงเสด็จอาตระกูลฝานและหัวหน้าแก๊งนักหลอมอาวุธ
คนที่เหลือคือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสองและขั้นหนึ่ง
จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมายเช่นนี้ สามารถกล่าวได้ว่าพื้นที่ท่ามกลางประเทศเทียนหวูแห่งนี้ได้รวบรวบจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งไว้หมดแล้ว ยี่สิบคนอาจจะดูเหมือนเยอะ แต่จริง ๆ แล้วเมื่อเทียบกับพื้นที่กว้างใหญ่นี้ ในแต่ละกองกำลังหลัก มีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น
เจ้าตำหนักจื่อสองมือยื่นออกมาหยิบหอกรบสีม่วงออกมา เจ้าสำนักเสวียนหยางก็หยิบกระบี่ยาวสีทองออกมา ส่วนอาวุธของเฆ่าประหลาดฉิวนั้นประหลาดมาก มันคือฆ้องบั้งคู่หนึ่ง
จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างก็หยิบอาวุธที่ไม่ธรรมดาออกมา ส่วนมากต่างก็เป็นระดับขั้นดินกลาง
“ลงมือ!”
สิ้นเสียงกู่ร้องของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคน ประกายแสงพลังจิตแท้หลายสายก็พวยพุ่งออกมา กลายเป็นลำแสง พุ่งเข้าไปกลางกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิที่มืดสนิทนั้น
โครมคราม……
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นระหว่างสวรรค์และโลก พลังจิตแท้ที่คลุ้มคลั่งกระเพื่อมไปทุกทิศ หนองน้ำที่อยู่ใกล้เคียงระเหยและทำให้แห้ง แสงจากสิ่งต่าง ๆ สาดส่องและพุ่งกระจาย ฉากนั้นงดงามอลังการมาก
ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นการร่วมมือกันของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งยี่สิบคน แม้ว่าจะเป็นถึงตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาขวางแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
อย่างไรก็ตามการโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ได้พุ่งตรงเข้าไปที่ใจกลางกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิ แต่กลับเพิ่งเปิดรอยร้าวที่ไม่เด่นมาก และต้องการบังคับเปิดทางเข้าให้คนผ่านไปได้ ยังต้องการพลังที่มากขึ้น
“ทุกท่าน ในเวลาเช่นนี้ไม่มีอะไรต้องเก็บซ่อนอีกต่อไปแล้ว หากเราไม่สามารถเปิดทางเข้าที่มั่นคงได้ ว่าใครก็อย่าหวังจะได้เข้าไปเลย” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงตระโกนก้อง
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา มีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยที่พลังจิตแท้รอบตัวก็พลุ่งพล่านและแข็งแกร่งขึ้น การโจมตีที่ทรงพลังยิ่งกว่าระเบิดออกไป
การโจมตีอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำวนแห่งปริภูมิสีดำสนิทนี้ ดูเหมือนว่าในที่สุดก็ถึงจุดเปลี่ยน รอยแตกตรงกลางค่อย ๆ ขยายออกในที่สุดช่องสีเทาที่มีความสูงเท่าคนหนึ่งคนก็ปรากฏขึ้น
จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุคนค่อย ๆ เรียกคืนพลังจิตแท้ รออยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าช่องว่างของอากาศสีเทานั้นไม่มีแนวโน้มที่จะรักษาตัวเอง ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ข้าลองดูว่าช่องว่างของอากาศนี้ปลอดภัยหรือไม่”
หัวหน้าแก๊งค่ายกลสำนักงานใหญ่‘อาจารย์เหว้ยห้าวหราน’โบกสะบัดมือ ประกายแสงวูบวาบปรากฏขึ้นข้าง ๆ กายเขา
มันคือค่ายกลที่มีความซับซ้อนของลายเส้นและสัญลักษณ์นับไม่ถ้วน ปรากฏเป็นหุ่นเชิดรูปคน
หุ่นเชิด ของพรรค์นี้ในบรรดานักยุทธ์ระดับล่างจะไม่ได้พบบ่อยนัก เพราะมีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลที่ถึงแม้จะบรรลุถึงระดับห้าขึ้นไป ต้องการสร้างหุ่นเชิด ก็ต้องสูญเสียพลังมหาศาล ทั้งยังต้องทุ่มเททั้งเวลาและอุปกรณ์
หุ่นเชิดที่พลังอ่อนแอนั้น มันไม่มีประโยชน์มากนักที่จะทำออกมา หุ่นเชิดที่มีพลังแข็งแกร่งสร้างมูลค่าได้มหาศาล ดังนั้นหุ่นเชิดนั้น ต่อให้อยู่ท่ามกลางนักยุทธ์ระดับสูง ก็ยังมีมูลค่ามากอยู่ดี
อาจารย์เหว้ยห้าวหรานอัญเชิญหุ่นเชิด เปล่งประกายแวววาวระยิบระยับ ดวงตาสีเลือดคู่หนึ่งเรียบนิ่งราวกับเครื่องจักร จ้องมองตรงไปข้างหน้าอย่างด้วยความเยือกเย็น
บนร่างของหุ่นเชิดยังสวมเกราะนักยุทธ์ระดับดินชุดหนึ่ง พลังชีวิตไหลเวียนอยู่บนร่าง เป็นระดับจักรพรรดิยุทธ์อย่างน่าอัศจรรย์!
“เข้าไปดู”
อาจารย์เหว้ยห้าวหรานชี้ไปที่ทางเข้า ณ ใจกลางกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิสีเทา หุ่นเชิดรูปคนตัวนี้ก็พุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่มีลังเล กระโจนเข้าไปในช่องว่างสีเทา