Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1011 กระบวนเฉือนเกิดดับ

ตอนที่ 1011 กระบวนเฉือนเกิดดับ

ตอนที่ 1011 กระบวนเฉือนเกิดดับ
แคว้นพฤกษาทอง เมืองฝนเขียว

หมอกพิรุณพร่าเลือน ท้องถนนสิ่งปลูกสร้างในเมืองล้วนแฝงกลิ่นอายโบราณดั่งบทกวีและภาพวาด

วู้ม…

ใจกลางเมือง ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเปิดออกเผยเงาร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจคือ ทันทีที่คนผู้นี้ปรากฏตัวก็แหงนมองฟ้าหัวเราะร่าไม่หยุดราวเสียสติ ถูกผู้ฝึกปราณไม่น้อยละแวกใกล้เคียงวิพากษ์วิจารณ์

หลินสวินก็สังเกตเห็นภาพนี้ แต่เขาคร้านจะใส่ใจ ชีวิตคนเรายามปิติควรรื่นเริงให้เต็มที่ ไยต้องใส่ใจสายตาคนอื่น

‘ร้ายกาจซะจริง เพื่อจู่โจมสังหารข้าถึงขั้นส่งสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาห้าคน น่าเสียดาย สุดท้ายพวกเจ้าก็วางหมากช้าไป!’

ในใจหลินสวินเบิกบานยิ่ง ความอัดอั้นหลายวันที่ผ่านมาหายเป็นปลิดทิ้ง

ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตามล่าจนไร้หนทาง บัดนี้ไม่เพียงหนีรอดปลอดภัย ยังมอบความเสียหายสาหัสที่คาดไม่ถึงแก่อีกฝ่าย มีหรือหลินสวินจะไม่ยินดี

โดยเฉพาะยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งถูกสังหารทั้งเป็น หลินสวินล้วนยากจะเชื่ออยู่บ้าง อีกทั้งซ้ำสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนอื่นอีกสี่คนก็บาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย ราวกับภาพฝันไม่ใช่ความจริง

‘เพื่อให้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตสะสมพลังต้องสิ้นเปลืองสามหมื่นกว่าแกนวิญญาณขั้นสูง แต่สามารถสร้างผลอัศจรรย์เช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า…’

หลินสวินมั่นใจยิ่งกว่าเดิม ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตต้องเป็นยอดอาวุธสังหารแน่ หากสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ แม้เผชิญหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่ต้องหวาดกลัว!

หลินสวินไม่ชักช้า สาวเท้าจากไป ชั่วพริบตาร่องรอยก็ลางเลือน ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณถูกเปิดใช้ได้ทุกเมื่อ ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน

แคว้นพฤกษาทองตั้งอยู่ในบริเวณค่อนข้างห่างไกลทางตอนเหนือของแดนชัยบูรพา มุ่งไปทางเหนือข้ามผ่านอีกสิบกว่าแคว้นก็เป็นแม่น้ำพรมแดนที่ขวางกั้นระหว่างแดนชัยบูรพาและแดนดาราอุดร

หากไปทางใต้ ขอแค่ผ่านเจ็ดแคว้นก็สามารถไปถึง ‘นครหยกขาว’ ที่สำนักกระบี่เทียมฟ้าตั้งอยู่!

เมืองฝนเขียวมีหมอกฝนพร่าเลือน ทั้งเมืองเผยบรรยากาศเลือนรางว่างเปล่า งดงามเงียบสงบดั่งบทกวีและภาพวาด

แม้แต่ไอวิญญาณในอากาศล้วนเต็มแน่น เหมาะแก่การบำเพ็ญยิ่ง

น่าเสียดาย สำหรับเมืองนี้หลินสวินเป็นแค่คนผ่านทาง

หลังจากนั้นครู่ใหญ่

เขาออกจากเมืองฝนเขียว ตัดผ่านป่าเขานอกชานเมือง มุ่งหน้าไปทางใต้ตลอดทาง

นี่คือผลจากการใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ตามการวิเคราะห์ของหลินสวิน หากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ยังไม่เลิกรา ต้องคิดว่าตนจะอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณหลบหนีแน่

อีกทั้งความเข้าใจของเขาต่อแดนชัยบูรพายังมีแค่แง่เดียว จึงคิดฉวยโอกาสนี้อาศัยฐานะนักเดินทางท่องเที่ยวในแดนนี้สักพัก

อ่านตำราหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ สำหรับการฝึกปราณแล้วก็เป็นเช่นเดียวกัน

แดนชัยบูรพามีฉายาว่า ‘แหล่งกำเนิดแห่งเหล่าอริยะ’ เป็นแดนวิภูซึ่งเก่าแก่รุ่งเรืองที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ สำนักแออัดเรียงราย หมื่นเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ รากฐานน่าอัศจรรย์

คิดหมายฝึกปราณเด่นผงาดในที่นี้ แน่นอนว่าต้องทำความเข้าใจและปรับตัวเป็นอันดับแรก

ทุ่งหญ้าหุบเขาเงียบสงบ เวิ้งว้างไร้ขอบเขต

เดินทางอยู่ในนั้นอย่างสันโดษ ทุกแห่งสามารถมองเห็นภูเขาประหลาดหินพิสดาร น้ำตกหลั่งรินน้ำพุเวียนวน สิงสาราสัตว์ร้องคำรามห้อตะบึง

เทียบกับเมืองที่ผู้ฝึกปราณพำนักแล้ว ทุ่งชานเมืองกว้างใหญ่และไพศาลกว่าโดยไม่ต้องสงสัย

รุ่งเช้าหลินสวินตื่นรับอรุณแรก ก้าวย่ำกลางอากาศ เดินทางเพียงลำพังกลางภูผาธารา มองทัศนียภาพอัศจรรย์แห่งฟ้าดิน หยั่งรู้วิชาแห่งตน

ยามสายัณห์ดั่งวิหคล้าหวนคืนป่า ตกปลาล่าสัตว์ก่อไฟทำอาหาร ลิ้มรสโอชาจากของหายากบนภูเขา

ยามค่ำคืนหลินสวินอาบไล้แสงดารา นั่งสมาธิฝึกตนท่ามความเงียบงัน…

สภาวะจิตเขาผ่อนคลายโดยสมบูรณ์ สัมผัสถึงความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ตั้งแต่เข้าสู่แดนฐิติประจิมจวบจนปัจจุบันเขายังไม่เคยผ่อนคลายเช่นนี้มาก่อน ไม่มีเรื่องเข่นฆ่าบุญคุณความแค้น และไม่มีเรื่องทางโลกรบกวน

ตลอดทางฟ้าดินเป็นเพื่อน ภูเขาแม่น้ำร่วมเคียง ลืมสิ้นสิ่งกังวลแห่งโลกหล้า!

เขามุ่งหน้า นั่งสมาธิ หยั่งรู้วิชา เดินทางต่อเพียงลำพัง…

ทุ่งชานเมืองหาใช่ดินแดนในอุดมคติ มีอันตรายเกินคาดเดาเช่นกัน

ค่ำวันนี้

หลินสวินซึ่งนั่งสมาธิลืมตาขึ้นอย่างเงียบเชียบ รวบนิ้วกรีดวาดเกิดเป็นเจตดาบสายหนึ่ง

ฉัวะ!

ห้วงอากาศพลันถูกเฉือนเกิดรอยแยกยาวร้อยพันจั้ง

ปลายทางของรอยแยก เงาดำที่อยู่ด้านข้างพลันวาบปรากฏ เห็นได้ว่าอเนจอนาถอยู่บ้าง เปล่งเสียงเกรี้ยวกราดสะเทือนนภา

นี่คือหมาป่าดำตัวหนึ่ง นัยน์ตามรกตดุจอัคคี ร่างยาวประมาณสิบกว่าจั้ง ดุดันปราดเปรียว แผ่กลิ่นอายอำมหิตสยบผู้คน

พร้อมๆ กับเสียงคำรามนี้ ภูผาสูงชันเงียบสงัดแถบนี้ต่างสั่นระรัว ลมเมฆเปลี่ยนสี

‘หมาป่าขุมทมิฬ’ ที่ก้าวสู่ระดับกึ่งราชัน!

“เจ้าหนุ่ม ที่นี่คืออาณาเขตของข้า…” มันส่งเสียงคำราม

เพิ่งกล่าวไปครึ่งหนึ่งหลินสวินก็โจมตีออกไปแล้ว วาดนิ้วกรีดเฉือน พริบตานั้นรวงแสงเปล่งประกายพลันโฉบพุ่งออกไป

ฟุ่บ!

หมาป่าขุมทมิฬซึ่งก้าวสู่ระดับกึ่งราชันตัวนี้ยังไม่ทันดิ้นรน ร่างกายใหญ่โตก็ดับสลายในบัดดล!

ตายอย่างรวดเร็ว ทั้งไม่ร้องทุรนทุราย ไม่มีภาพอนาถฝนโลหิตสาดพรมหลังถูกสังหาร กระทั่งไม่เหลือกลิ่นอายเพียงเสี้ยว

เสมือนรอยเปื้อนบนกระดาษถูกลบออกไปจนสิ้น!

ตั้งแต่ต้นจนจบห้วงอากาศเงียบสงัด ภูเขาแม่น้ำเงียบงัน สรรพสิ่งไม่สังเกตเห็น ผีเทพไม่ถูกทำให้ตระหนก มีเพียงหมาป่าขุมทมิฬนั่นไม่ดำรงอยู่แล้ว

“เกิดดับชั่วพริบตา…” หลินสวินกล่าวกับตัวเอง

การโจมตีนี้คือ ‘กระบวนเฉือนเกิดดับ’ ที่เขาเพิ่งหยั่งรู้ไม่นาน กระบวนท่าที่ห้าของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า

เหตุใดจึงเรียกเกิดดับ

ชั่วดีดนิ้วคือหกสิบขณะ ชั่วขณะคือเกิดดับเก้าร้อย!

กระบวนเฉือนเกิดดับมาจากแก่นอัศจรรย์แห่ง ‘การเกิดดับชั่วพริบตา’

เมื่อกรีดเฉือนก็สามารถแบ่งแยกการเกิดดับได้ในพริบตา เร็วจนน่าเหลือเชื่อ เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างไม่อาจจินตนา!

นัยเร้นลับที่การโจมตีนี้แฝงเอาไว้เรียกได้ว่าล้ำลึกยากหยั่งถึง ลึกซึ้งกว้างไกล

ปัจจุบันหลินสวินได้แค่เข้าใจเบื้องต้น แต่แม้เป็นเช่นนั้นเขากลับมั่นใจยิ่งว่าหากพบยอดราชันกึ่งระดับอย่างเหวินสิงโจวอีก แค่การเฉือนเดียวก็สามารถดับชีวิตอีกฝ่ายได้!

‘เกิดๆ ดับๆ แบ่งได้ในชั่วพริบตา นัยแท้จริงนี้ช่างอัศจรรย์เกินบรรยาย กระบวนเฉือนนี้คือการโจมตีที่มีพลังสังหารสูงสุดเท่าที่ข้ามีในปัจจุบัน…’

หลินสวินสำนึกรู้เงียบๆ ก่อนปิดตาลงใหม่อีกครั้ง

ทุกเสียงเงียบกริบ รัตติกาลนิ่งสงบ เหนือศีรษะดวงดาวส่องประกายราวภาพฝัน

หลายวันต่อมา

แคว้นลักษณ์มายา เมืองทุ่นบรรพต

ใจกลางเมืองมีต้นข่าวสารทองคำต้นหนึ่ง

‘เยี่ยเฉินอัจฉริยะวิถีกระบี่รุ่นเยาว์ของ ‘ตระกูลเก่าแก่เยี่ย’ แห่งเขาจื่อเวยแดนดาราอุดร ผู้ครองฉายา ‘มารกระบี่จื่อเวย’ มาเยือนแดนชัยบูรพา เอาชนะผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งหกสำนักใหญ่โบราณในสามวัน!’

‘อวี่หลิงคงผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณเข้าร่วม ‘ชุมนุมชาแสงสมบัติ’ คนเดียวเอาชนะยอดผู้กล้าสิบแปดคน!’

‘อู่เต้าคงผู้สืบทอดสำนักผาดาราบุกเดี่ยวเข้า ‘ถ้ำวิญญาณโลหิต’ สังหารวิญญาณโลหิตแปดร้อยตนและจากไปอย่างผ่าเผย!’

หน้าต้นข่าวสาร ข่าวใหญ่เรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกบอกเล่าออกมา ก่อเกิดเสียงอื้ออึงอัศจรรย์ใจเป็นระลอก

เรื่องที่สามารถปรากฏบนต้นข่าวสารทองคำ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่เพียงพอจะปั่นป่วนแดนชัยบูรพา ข่าวทั่วไปไม่มีคุณสมบัติพอแต่แรก

ในฝูงชนหลินสวินยืนเงียบเชียบ

หยั่งรู้โลกภายนอก เรื่องราวทางโลกหลอมจิต ทั้งการไม่ข้องเกี่ยวและการเข้าสู่สังคมต่างเป็นการบำเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง

หมายผงาดง้ำท่ามกลางสงครามมหายุค ก็ต้องเผชิญการประลองกับหมื่นผู้กล้า หากมัวแต่ละทางโลกไม่ออกมาก็ไม่ต้องพูดถึงการชิงชัยแล้ว

วันนี้หลินสวินเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่คนในขอบเขตมกุฎแห่งแดนกาฬทักษิณ แดนดาราอุดรเอง ล้วนทยอยมาถึงแดนชัยบูรพา ทั้งฉายแววเจิดจรัสเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนสะเทือนใต้หล้า

ดังเช่นเยี่ยเฉินมารกระบี่จื่อเวยผู้นี้

หรืออย่างอวี่หลิงคงผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะ

ไม่จำเป็นต้องสงสัย ผลงานการต่อสู้ในแดนชัยบูรพาของพวกเขาล้วนสามารถชักนำความอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ได้รับการแพร่ข่าวบนต้นข่าวสารทองคำ แน่นอนว่าพลังต่อสู้ต้องไม่ธรรมดา

‘ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อวี่หลิงคงครองพลังต่อสู้ระดับใด…’ หลินสวินขบคิด

“เทพมารหลินก็ไม่แย่ ยามอยู่แดนฐิติประจิมก็ก่อคลื่นลมไม่น้อย เพิ่งมาถึงแดนชัยบูรพาก็ต่อกรกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนหนึ่งยังตายอนาถในมือเขา!”

มีคนทอดถอนใจ ดึงดูดความสนใจหลินสวิน

“เจ้าเด็กนี่เป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่งจริงๆ แม้กล่าวว่าอาศัยของนอกกายสังหารราชันผู้นั้น แต่เขาสามารถตีฝ่าแหวกทางโลหิตอย่างแข็งกร้าวออกจากการปิดล้อมเป็นชั้นๆ ได้ นี่ไม่ธรรมดาเลย”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายดังขึ้น

หลินสวินถึงได้เข้าใจ เรื่องที่เขาก่อในแคว้นกู่ชางได้แพร่กระจายทั่วแดนชัยบูรพาแล้ว

ผลงานการต่อสู้ของเขาล้วนทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกคาดไม่ถึง แน่นอนว่าส่วนมากต่างตกตะลึง

เด็กหนุ่มซึ่งมาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง กลับเด่นผงาดในแดนฐิติประจิมราวพลิกฟ้า จากนั้นยังหนีรอดการตามล่าของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่แดนชัยบูรพา ไม่คิดดึงดูดความสนใจผู้คนล้วนยากนัก

โดยเฉพาะเรื่องที่เขามีสมบัติอริยะล้วนไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แพร่สะพัดไปพร้อมเหตุการณ์เหล่านี้

สำหรับหลินสวินข่าวนี้ย่ำแย่โดยไม่ต้องสงสัย

ในตอนนี้เขายังไม่กลายเป็นราชันอย่างแท้จริง ไม่อาจผงาดกร้าวเหนือแดนชัยบูรพาที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน สำนักเรียงรายได้

และเจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือเขาก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่สามารถทำให้อริยะตาลุกวาว เป็นบ่อเกิดหายนะอย่างหนึ่ง ต้องชักนำความละโมบมากมายเป็นแน่

แม้เขาเคยสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน ทำให้ผู้คนในใต้หล้าตื่นตระหนก แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่ไม่ใช่พลังของเขา สิ่งที่พึ่งพาคืออานุภาพแห่งยอดสมบัตินอกกาย

ประกอบกับเขาไร้ที่พึ่ง แน่นอนว่าต้องถูกเพ่งเล็งง่ายกว่าคนอื่น

“ยังมีเวลาหนึ่งปีก่อน ‘การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู’ ในรอบสามสิบปีจะเปิดฉาก ถึงเวลานั้นแดนชัยบูรพาต้องมีคลื่นลมถาโถมแน่!”

ขณะหลินสวินเตรียมจากไป กลับถูกเสียงสนทนาหนึ่งดึงดูด

“ไม่ผิด สงครามมหายุคจวนมาเยือน การประลองกระดานดาราคราวนี้ต้องต่างจากอดีตสิ้นเชิง บุคคลแห่งยุคที่มีปณิธานประชันกันในมหาสงครามต้องเข้าร่วมแน่ ถึงเวลานั้นคงกลายเป็นการเปิดฉากช่วงชิงความเป็นใหญ่ของผู้กล้ารุ่นเยาว์แน่นอน!”

“การประลองกระดานดาราเป็นการปูพื้นก่อนกระดานทองคำผู้กล้ามาเยือน ขอแค่สามารถดันตนขึ้นสู่ร้อยอันดับแรก ก็เท่ากับมีสิทธิ์ทะลวงกระดานทองคำผู้กล้า!”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หลินสวินหันหลังจากไป

การประลองกระดานดาราสี่แดนวิภูสืบทอดมาแต่สมัยบรรพกาลจนปัจจุบัน เป็นการชุมนุมวิถียุทธ์ครั้งใหญ่ของผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์สี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ

ทุกสามสิบปีการประลองกระดานดาราจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง

หลินสวินเองก็สนใจเรื่องนี้มาก

ภายในสองปีมหายุคจะมาเยือน และการประลองกระดานดารานี่ก็เป็นการแข่งขันของผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์สี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ ก่อนมหายุคมาเยือนเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้กล้าทั้งใต้หล้าแน่

‘หากมีโอกาส หลังจากนี้หนึ่งปีต้องลองไปดู’

หลินสวินใคร่ครวญพลางออกจากเมืองทุ่นบรรพต

ช่วงเวลาต่อมาหลินสวินยังเดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำเพียงลำพัง บางครั้งจึงเข้าเมืองสืบข่าวใหม่ที่เกิดขึ้นในแดนชัยบูรพา

ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ข้ามผ่านเขตแดนหลายแคว้น เดินทางบนเส้นทางหลายแสนลี้แล้ว

ผ่านไปหนึ่งเดือน

ในที่สุดหลินสวินก็เข้าสู่เขตแคว้น ‘นครหยกขาว’

สำนักกระบี่เทียมฟ้าตั้งอยู่ในแคว้นนี้!

……………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท