แดนแต่งตั้งราชา ร้อยปีจะเปิดหนึ่งครั้ง นั่นก็หมายความว่าป้ายชื่อพวกนี้จะคงอยู่ไปหนึ่งร้อยปี จนถึงหลังจะหนึ่งร้อยปี ก็จะถูกแทนทีด้วยป้ายชื่อใหม่จากแดนราชายุทธ์
เมื่อสมัยโบราณ การเปิดแดนของแดนแต่งตั้งราชา รับผิดชอบโดยสำนักรู้ฟ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทางเหนือ แต่หลังจากเกิดภัยพิบัติในสมัยโบราณ สำนักรู้ฟ้าไม่มีอยู่อีกต่อไป ตอนนี้ควบคุมโดยสมาคมเป่ยเซี๋ยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
และคูเมืองแห่งนี้ ชื่อว่าเมืองแต่งตั้งราชา!
เมื่อหลัวซิวมาถึงเมืองแต่งตั้งราชา จึงได้รู้ว่าบัญชาแต่งตั้งราชาในมือนั้น เพื่อแสดงว่ามีสิทธิ์เข้าเมืองเท่านั้น หากต้องการจะเข้าร่วมแดนแต่งตั้งราชา ไม่เพียงแต่ต้องมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนราชายุทธ์ขึ้นไป แต่ยังต้องได้รับสถานะจากกองกำลังของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ครองบัลลังก์ท่านใดท่านหนึ่งจึงจะผ่านได้
แน่นอน ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์อิสระนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการต่อสู้ชิงป้ายชื่อแดนราชายุทธ์ เพียงแต่จำเป็นเข้าร่วมกองกำลังชั่วคราว จากนั้นลงนามในกองกำลังนี้ ก็จะสามารถเข้าสู่หอแต่งตั้งราชา และร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชาได้
เมื่อมีผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์คนใดได้รับป้ายชื่อ กองกำลังที่เขาเป็นตัวแทน จะโด่งดังไปทั่ว และเป็นที่รู้จักของทุกคน ถึงเวลานั้นก็จะมีคนเก่งๆ มากมาย ที่เต็มใจจะเข้าร่วมกองกำลังนี้
เมื่อหลัวซิวและหลงหมิงมาถึงเมืองแต่งตั้งราชา ระยะเวลาเริ่มการต่อสู้แต่งตั้งราชา ก็เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว
นอกจากนี้ยังหมายความว่า หากหลัวซิวไม่พบฝ่ายที่จะเข้าร่วมชั่วคราวภายในเดือนนี้ จะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชาได้
“วีรบุรุษทุกท่าน พวกเราสำนักเสวียนธารายังมีที่ว่างเหลือสำหรับเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชาอีกสองที่ ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ที่มีใจปรารถนา โปรดมาที่ลานฝึกยุทธ์เมืองฝั่งใต้!”
เข้าเมืองได้ไม่นาน ข้อความหนึ่งก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในเมือง ผู้ฝึกยุทธ์อิสระแห่งแดนราชายุทธ์จำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อได้ยินข้อความนี้ ต่างก็พากันมุ่งหน้าไปที่ลานฝึกยุทธ์เมืองฝั่งใต้
เพราะว่ามีเพียงกองกำลังของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งครองบัลลังก์ ถึงจะสามารถได้รับที่ว่างในการเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา สิ่งนี้ทำให้ที่ว่างในมือของกองกำลังต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง
ยิ่งมีกำลังมากเท่าไร ก็ยิ่งมีที่ว่างมากขึ้นเท่านั้น แต่เงื่อนไขก็มากขึ้นไปด้วยเช่นกัน อย่างน้อย ๆ จำเป็นต้องมีผลการฝึกตนของแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไปถึงจะผ่านได้ และผลการฝึกตนของหลัวซิวและหลงหมิง ตอนนี้อยู่ที่แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง กองกำลังขนาดใหญ่เหล่านั้นไม่สนใจที่จะดูแลพวกเขา
หากพวกเขาแสดงความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมได้กับแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ด ด้วยความที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์อิสระ แต่กลับสามารถสู้กับศัตรูที่ต่างชั้นได้ถึงหกแดนเล็ก จะทำให้เกิดความดึงดูดได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเข้าร่วมกองกำลังธรรมดา ด้วยวิธีนี้จะไม่เป็นการดึงดูดความสนใจ
จากกลางเมืองแต่งตั้งราชาหลังจากสอบถามข้อมูลมาบ้างแล้ว หลัวซิวและหลงหมิงก็ได้รู้ว่าสำนักเสวียนธาราเป็นเพียงแค่กองกำลังธรรมดาระดับสอง ในสำนักมีอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์หนึ่งคน และมีที่ว่างสี่ตำแหน่งสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชา
สองในสี่ที่ตำแหน่งนั้น เป็นของสองผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ซึ่งเป็นศิษย์ของสำนัก อีกสองตำแหน่งที่เหลือแน่นอนว่าต้องคัดเลือกจากผู้ฝึกยุทธ์อิสระ ค้นหาแดนราชายุทธ์สองคนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ด้วยความหวังว่าจะสามารถยืมมือจากการต่อสู้แต่งตั้งราชา เพื่อเป็นโอกาสทำให้สำนักเสวียนธาราได้มีหน้ามีตา
ต้องการผู้ฝึกยุทธ์อิสระที่ต้องการเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชานั้นมีมากมาย แต่ตำแหน่งว่างนั้นมีเหลือเพียงสองที่ จุดหมายสุดท้ายต้องตัดสินด้วยความแข็งแกร่ง
บนลานกว้างแห่งหนึ่งในเมืองฝั่งใต้ ได้จัดตั้งเวทีประลองยุทธ์ขึ้นมาแห่งหนึ่ง และทั่วทั้งสี่ทิศยังเต็มไปด้วยค่ายกลคุ้มกันระดับหก
บริเวณใกล้เคียงของเวทีประลองยุทธ์ ได้มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก
ที่จุดลงทะเบียนสำหรับแย่งชิงที่ว่างสองตำแหน่ง มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า ข้างๆ นั้นมีป้ายเขียนไว้ว่า ต้องการช่วงชิงที่ว่างสองตำแหน่งสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชา ต้องมีผลการฝึกตนอย่างน้อยระดับแดนราชายุทธ์ขั้นห้าขึ้นไป!
กองกำลังอันยิ่งใหญ่ที่เป็นหัวกะทิทั้งหลาย ต่างก็ตั้งเงื่อนไขว่าอย่างต่ำต้องเป็นแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป พลังของสำนักเสวียนธาราแห่งนี้ไม่ได้แข็งแกร่ง จึงได้ลดผลการฝึกตนลงมาที่แดนราชายุทธ์ขั้นห้า นั่นก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
อย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้นเงื่อนไขนี้ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์จำนวนไม่น้อยถอยทันทีที่เห็น
ท้ายที่สุดคนที่สามารถฝึกตนจนถึงแดนราชายุทธ์แดนได้ ล้วนมีพรสวรรค์อยู่แล้ว และผลการฝึกตนเมื่อบรรลุถึงแดนราชายุทธ์แล้ว ทุก ๆ ก้าวเดินในแดนต่าง ๆ ก็ยิ่งกลายเป็นความยากมากขึ้น แดนราชายุทธ์ส่วนใหญ่ ต่างก็ต่ำกว่าแดนราชายุทธ์ขั้นสาม แดนราชายุทธ์ชั้นกลางส่วนน้อยจะอยู่ที่ขั้นสี่และขั้นหก ส่วนขั้นเจ็ดขึ้นไปนั้นเรียกได้ว่าหาได้ยากทีเดียว
“แม่มเอ้ย ท่านชายหลงอย่างข้า ก็มีวันทีผลการฝึกตนต่ำเสียจนโดนดูถูกได้เลยหรือ”
เมื่อหลัวซิวและหลงหมิงอยากจะสมัคร แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคลื่นพลังจิตแท้บนร่างก็กระเพื่อมออกมา ไม่แปลกใจเลยที่ถูกผู้รับผิดชอบของสำนักเสวียนธารา ปฏิเสธจนหน้าหงาย
หลงหมิงหงุดหงิดนิดหน่อย หากไม่ได้มีหลัวซิวคอยกดอยู่ข้าง ๆ เกรงว่าจะโวยวายเสียจนเกิดเรื่องราวใหญ่โต
หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ยินว่ายังมีกองกำลังที่มีที่ว่างสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชาที่กลางเมือง แต่ผลที่ได้ก็ได้ทำให้น่าประหลาดใจแม้แต่น้อย ไม่มีกองกำลังใด ที่จะยอมสิ้นเปลืองที่ว่างของตนเพื่อนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนแค่แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง
โดยไม่มีทางเลือก หลัวซิวทำได้เพียงของความช่วยเหลือจากองค์กรนักล่ายุทธ์ หยิบเอากล่องส่งข้อความออกมา และส่งข้อความออกไปทันที
ในวันนี้เขาได้รู้แล้วว่า ระบบภายในองค์กรนักล่ายุทธ์ ได้ใช้วิญญาณแห่งค่ายกลเป็นตัวควบคุม เขาส่งข้อความไปให้องค์กรนักล่ายุทธ์ ส่วนคนที่ได้รับข้อความจริง ๆ นั่นคือวิญญาณแห่งค่ายกล
วิญญาณแห่งค่ายกล ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังที่ที่เหมาะสม ตามคำขอของเขา
สี่องค์กรใหญ่แห่งโลกแสงดาวมีสถานะโด่ดเด่น สามารถทัดเทียมกับชั้นยอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ หากต้องการที่ว่างสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ผ่านไปไม่นาน หลัวซิวก็ได้รับข้อความตอบกลับ ให้เขารออยู่ในห้องห้องหนึ่งของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง
ในห้องของร้านอาหาร หลัวซิวไม่ได้รอนานนัก มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกช้า ๆ
หลัวซิวมองไปด้วยแววตาสงสัย เห็นว่าคนที่ผลักประตูเข้ามาเป็นชายชราที่ดูมีสุขภาพดีคนหนึ่ง สวมชุดคลุมลายดวงดาวพระจันทร์สีน้ำเงิน ดูสูงส่งและสว่างาม มือขวากำแส้ขนหางจามรีพาดไปที่แขนข้างซ้าย นิ้วมือซ้ายจีบเข้าหากัน เหมือนปราชญ์ผู้มาจากโลกภายนอก
แม้ว่าชายชราจะไม่มีลมปราณของแข็งแกร่งใดใดแพร่กระจายออกมา แต่หลัวซิวกลับสามารถอาศัยลูกแก้วความเป็นตาย เห็นเส้นชีวิตของชายชรา มันช่างแข็งแกร่งราวกับไฟที่ลุกโชน
“ข้าคือมู่จื่อซิว เป็นผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์แห่งโลกแสงดาวเขตเหนือ เจ้าคงจะเป็นผู้น้อยซิวหลัวล่ะสิ”
ชายชราเสื้อคลุมดวงดาวยิ้มออกมาบาง ๆ สายตาหยุดลงบนร่างของหลัวซิว
“ข้าน้อยหลัวซิว คารวะท่านอาวุโส”
หลัวซิวลุกขึ้นยืน พร้อมโค้งทำความเคารพ เขาไม่สามารถรู้ผลการฝึกตนของชายตรงหน้าได้เลย แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้คือ เป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งคนใดที่เขาเคยได้พบเจอ
“เฮ้อ โลกการฝึกยุทธ์สมัยนี้ตกต่ำจนถึงเพียงนี้แล้วหรือ สี่องค์กรใหญ่ในสมัยโบราณ คนที่สามารถรับหน้าที่ผู้ลาดตระเวนได้ อย่างน้อยต้องได้รับป้ายชื่อเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง ในตอนนี้แค่เพียงมกุฏยุทธ์ตัวเล็ก ๆ ก็สามารถเป็นผู้ลาดตระเวนได้แล้ว?” ทันใดนั้นกลางมือซ้ายของหลัวซิว ก็มีเสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถอนหายใจออกมา
หลัวซิวมองผลการฝึกตนของมู่จื่อซิวไม่ออก แต่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมีนิมิตแห่งการหยั่งรู้ เพียงการเหนี่ยวยำเพียงเล็กน้อย ก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าเป็นผลการฝึกตนระดับมกุฏยุทธ์
และจากปากของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวก็รู้ได้ทันทีว่าป้ายชื่อมหาจักรพรรดิยุทธ์ในสมัยโบราณช่างเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงพลัง เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะสามารถรับมือได้อย่างแน่นอน
พูดถึงองค์กรนักล่ายุทธ์นี้ ถึงแม้หลัวซิวจะเป็นสมาชิกอัจฉริยะภายในองค์กร แต่กลับไม่เคยได้สัมผัสกับระดับสูงขององค์กร ดังนั้นเรื่องที่เขารู้จึงมีไม่มากนัก
“อายุเพียงสิบเจ็ดปีก็สามารถฝึกตนบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ ผู้น้อยซิวหลัวมีพรสวรรค์สูงยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบเจอ”
มู่จื่อซิวยิ้มและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามกับหลัวซิว
หลังจากนั้น สายตาของเขาก็หยุดลงบนร่างของหลงหมิงที่อยู่ข้าง ๆ หลัวซิว “เพียงแค่ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ ก็สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ความสมบูรณ์แบบของพวกตระกูลมารอย่างเจ้า ทำให้ข้าไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไร”
“เจ้าสามารถมองออกว่าข้าคือตระกูลมาร?” หลงหมิงตกใจจนลุกขึ้นยืน