บทที่ 420 อาจารย์เสวียนหยาง
“แขกมากันครบแล้วเหรอ?” มีเสียงสุขุมชราภาพดังออกมาจากห้องลับอย่างกะทันหัน
“เรียนท่านบรรพชน คนของตำหนักจื่อยังมาไม่ถึง” เจ้าสำนักเสวียนหยางตอบด้วยน้ำเสียงที่เคารพ
“ตาเฒ่าถาววางตัวใหญ่โตใช้ได้ ก่อนหน้านี้ข้าส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ” อาจารย์เสวียนหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เหมือนไม่พอใจที่จนป่านนี้แล้วอาจารย์ตำหนักจื่อยังมาไม่ถึง
“ท่านบรรพชน ถึงฤกษ์มงคลแล้ว”
ก่อนที่จะสิ้นเสียงคำพูดของเจ้าสำนักเสวียนหยาง ประตูหินของห้องลับเปิดออกอย่างเชื่องช้า ชายชราในชุดกี่เพ้าสีขาว มีวงแหวนสีทองลอยอยู่ตรงหลังศีรษะเดินออกมาจากห้องลับ
ชายชราคนนี้ใช้มือไขว้หลังข้างหนึ่ง บนร่างกายถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งความแข็งแกร่งที่สามารถมองข้ามทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า
เจ้าสำนักเสวียนหยางเห็นชายชราคนนี้ ร่างกายก้มต่ำลงยิ่งกว่าเดิม การที่สำนักเสวียนหยางมีทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะการมีอยู่ของบรรพชนท่านนี้
ทว่าท่าทีที่ถ่อมตนของนาง เมื่อตกอยู่ในสายตาของอาจารย์เสวียนหยางกลับทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น “หลิงซวง พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลว แต่หลายปีมานี้กลับยังเป็นได้แค่จักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเพราะเหตุใด?”
“หลิงซวงไม่ทราบ ท่านบรรพชนโปรดชี้แนะ” เจ้าสำนักเสวียนหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคารพ
“นั่นเป็นเพราะจิตใจของเจ้าขาดความทะเยอทะยานของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ เมื่อไหร่ที่เจ้าไม่ถ่อมตนต่อหน้าข้าเช่นนี้ บางทีเจ้าก็อาจจะสามารถเข้าใจในจุดนี้ ถึงเวลา ผลการฝึกตนของเจ้าจะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว” อาจารย์เสวียนหยางลูบหนวดเคราของตนเองแล้วพูด
ได้ยินคำพูดแบบนี้ บนใบหน้าของเจ้าสำนักเสวียนหยางปรากฏให้เห็นอารมณ์ของความสงสัยและหวั่นเกรง “หลิงซวงไม่กล้าดูหมิ่นท่านบรรพชน ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านบรรพชนถึงพูดเช่นนี้”
“ในฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งจำเป็นต้องมีความทะเยอทะยาน หากไม่มีใจของผู้แข็งแกร่ง เจ้าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งได้อย่างไร? ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะไม่ยอมก้มหัวให้คนใดคนหนึ่ง”
อาจารย์เสวียนหยางพูดอย่างเชื่องช้า “เจ้ายิ่งยำเกรงยิ่ง ยิ่งนับถือข้าดั่งเทพ เจ้าจะยิ่งไม่มีวันก้าวข้ามข้า อีกสองร้อยปีข้าก็จะสิ้นอายุขัยแล้ว ชีวิตนี้ไม่มีหวังบรรลุถึงระดับดินแดนมหายุทธ์ การสืบทอดต่อไปของสำนักเสวียนในอนาคต จะถูกส่งมอบไปอยู่ในมือของเจ้า”
“อาจจะไม่สามารถบรรลุถึงดินแดนมกุฎยุทธ์ก่อนข้าจะดับสูญ รากฐานนับพันปีของสำนักเสวียนหยาง เกรงว่าต้องพังทลายแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ อาจารย์เสวียนหยางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ สิ่งที่สำนักและตระกูลกลัวมากที่สุดก็คือไม่มีผู้สืบทอด
สิ่งที่ควรชี้แนะก็ชี้แนะไปแล้ว เส้นทางการฝึกยุทธ์ของทุกคนแตกต่างกัน เขาไม่สามารถชี้แนะนางมากกว่านี้
“พากันเถอะ”
หลังจากสิ้นเสียง อาจารย์เสวียนหยางก้าวเท้าออกจากตำหนัก
“คำนับท่านบรรพชน!”
ทันทีที่อาจารย์เสวียนหยางเดินออกมา บนจัตุรัสที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเงียบสงบลงทันที ลูกศิษย์ของสำนักเสวียนหยางนับพันในชุดกี่เพ้าสีขาวคุกเข่าลงพื้น ตะโกนพูดเสียงดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
“คำนับท่านอาจารย์!”
แขกที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศก็ลุกขึ้นคำนับเช่นกัน
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” อาจารย์เสวียนหยางยิ้มเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อ พลังปราณที่มองไม่เห็นสายหนึ่งประคองทุกคนลุกขึ้นยืนตัวตรง
บนจัตุรัสแห่งนี้มีคนอย่างน้อยหลายพัน อาจารย์เสวียนหยางเพียงแค่ยกมือถึงขั้นสามารถส่งผลต่อทุกคน ผลการฝึกตนระดับนี้เรียกได้ว่าล้ำลึกไม่อาจหยั่งถึง
วงแหวนแสงสีทองที่ลอยอยู่ตรงหลังศีรษะของเขาทำให้ทั่วร่างของเขาเปล่งประกายแสงสีทอง เจิดจรัสดุจดั่งเทพเจ้า และราวกับเทพเซียนผู้พลัดถิ่น
มกุฎยุทธ์มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวทั้งสองที่ปะปนอยู่ในฝูงชน ล้วนแต่ระงับความผันผวนปราณแท้ของตนเอง บนใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความเคร่งเครียด
พวกเขาสองคน คนหนึ่งคือมกุฎยุทธ์ขั้นสาม เป็นผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์ของพื้นที่แห่งหนึ่ง ความแข็งแกร่งเทียบเท่ามกุฎยุทธ์ขั้นสี่
โดยเฉพาะหนิงเหอโจวมีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ เป็นผู้แข็งแกร่งที่เดินสายนักยุทธ์กลั่นร่าง ถือเป็นยอดฝีมือในคนระดับเดียวกัน ตอนสังหารอาจารย์ตำหนักจื่อในแดนตำหนักจื่อ โดยพื้นฐานแล้วเป็นฝีมือของเขาคนเดียว มู่จื่อซิวแค่ทำหน้าที่สนับสนุนเท่านั้น
แต่ตอนที่อาจารย์เสวียนหยางปรากฏตัว กลับทำให้พวกเขาสองคนเกิดความรู้สึกลึกซึ้งจนไม่สามารถหยั่งถึง
“ไม่เสียเปล่าที่ตาเฒ่าคนนี้อยู่มาสองพันแปดร้อยปี ผลการฝึกตนลึกซึ้งไม่อาจหยั่งถึง” มู่จื่อซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“คิดไม่ถึงว่าอาณาจักรใต้ของประเทศเทียนหวู่ จะมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ด้วย” ในแววตาของหนิงเหอโจวปรากฏให้เห็นความกังวล
สิ่งที่พวกเขากังวลไม่ใช่ผลการฝึกตนของอาจารย์เสวียนหยาง ผลการฝึกตนของอาจารย์เสวียนหยางคนนี้ก็อยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่เช่นกัน แม้ว่าไม่สามารถทะลวงผลการฝึกตนมาโดยตลอด แต่ปราณแท้กลับถูกเขาควบแน่นจนมีพลังมหาศาลและไม่สามารถคาดเดา
นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวกังวล มกุฎยุทธ์ขั้นสี่เช่นกัน หนิงเหอโจวรู้สึกว่าปราณแท้ของตนเองด้อยกว่าอาจารย์เสวียนหยางเยอะมาก
“อายุขัยของตาเฒ่าคนนี้ใกล้หมดลงแล้ว หากสู้กันอย่างจริงจัง เกรงว่าคงรับมือพวกเราไม่ไหว พวกเราสองคนร่วมมือกันจัดการเขาไม่ใช่ปัญหา”
“ขึ้นอยู่กับว่าหลัวซิวสามารถคลายค่ายกลระดับเจ็ดอันนี้ได้หรือเปล่า ไม่เช่นนั้น หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริง ไม่แน่ชีวิตของพวกเราสองคนอาจจะจบลงที่นี่”
มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวหันไปสบตากัน แววตายิ่งเคร่งเครียด
“ฮ่าฮ่า วันเกิดอายุสองพันแปดร้อยปีของพี่หลี่ข้ามาสาย โปรดให้อภัย โปรดให้อภัย…”
ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะดังมาจากกลางอากาศ มีรถม้าคันหนึ่งถูกลากผ่านเมฆหมอก โครงสร้างของรถม้าถูกสร้างจากหยกเขียว ถูกลากโดยมังกรเจียวระดับห้าสามตัว ชายวัยกลางคนหน้าคมเข้มเป็นผู้คุมรถม้า ผลการฝึกตนอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์
“น้องซุนเปิดตัวยิ่งใหญ่นัก” หลี่เสวียนหยางยิ้มเล็กน้อย
เรียกขานคนรุ่นเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่อยู่ด้านในรถม้าต้องเป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์แน่นอน
ผ้าม่านรถม้าเปิดออกอย่างเชื่องช้า ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน เขาแต่งกายด้วยชุดจีน มีมงกุฎรูปดาวอยู่ตรงศีรษะ สองเท้าเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ ตรงระหว่างคิ้วมีไฝสีแดง ความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นสายหนึ่งทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอยากกราบไหว้บูชา
นักยุทธ์ที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักมกุฎยุทธ์แซ่ซุนคนนี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ คนคนนี้มีชื่อว่าซุนเชียนซาง เป็นนักยุทธ์พเนจร ชื่อเสียงไม่เป็นที่รู้จัก น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวในโลกภายนอก
ซุนเชียนซางนั่งขัดสมาธิลงที่ฝั่งซ้ายมือของหลี่ซวนหยาง เห็นที่นั่งฝั่งตรงข้ามยังว่าง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่ถาวยังไม่มาอีกหรือ?”
“ก็คงจะวางท่าใหญ่โตกว่าเจ้ามั้ง” หลี่เสวียนหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่พอใจเล็กน้อย
ด้านล่างฝูงชน สีหน้าของมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวดูน่าเกลียดมาก มีมกุฎยุทธ์มาอีกคน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร
“ตัง!”
ทันใดนั้น มีเสียงระฆังดังก้องไปทั่วฟ้าดิน และเสียงยังคงกังวานอยู่เหนือท้องฟ้าของเขาเสวียนหยางอย่างชัดเจน