มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 474
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากอาจารย์ตระกูลหยูไม่สติแตกก็คงเป็นเรื่องแปลก เพราะการบ่มเพาะจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งคน ไม่เพียงแค่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังต้องใช้เวลาที่ยาวนาน จึงจะสามารถบ่มเพาะออกมาได้
“รีบไปเร็ว เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้เลือดเย็นนัก หากเขาคลุ้มคลั่งขึ้นมา แล้วลงมือกับพวกเรา จากความเร็วอันน่ากลัวที่เขาสำแดงออกมา หากตกเป็นเป้าหมายแล้ว เกรงว่าใครก็หนีไม่พ้น !”
มีบางคนที่เผยความหวาดกลัวออกมาจากสายตา เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลหยูถูกสังหาร ก็รีบหันหลังหนีไปในทันที โดยไม่กล้าอยู่ต่อแม้เพียงครู่เดียว
ไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ ต่างก็ค่อย ๆ หนีหายไปจนหมด
เกาเหลียนหงเองก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนหน้านี้บนเขาไม้เสวียน หลัวซิวใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็ทำให้หยูชุนชิวได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เขารู้สึกว่าพลังของเด็กหนุ่มคนนี้ แข็งแกร่งกว่าตนเอง
แต่เขาก็รู้ดีว่า ท่วงท่าที่ทรงพลังเช่นนี้ จะต้องมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย เจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้ ต่อให้ยอดเยี่ยมกว่าตนเอง แต่ก็คงไม่แข็งแกร่งกว่าสักเท่าไรนัก
ทว่าตอนนี้เขาถึงรู้ว่า บนเขาไม้เสวียน หลัวซิวยังไม่ได้สำแดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองออกมา
หรือว่าตอนนี้ต่างหาที่เป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เกาเหลียนหงก็รู้สึกกลัวจนขนลุก ถ้าหากเขายังมีความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่อีก เช่นนั้นคงน่าหวาดกลัวมากจริง ๆ
หลินจื่อเฟิงเองก็มองดูด้วยความกระตือรือร้น เจ้าสำนักหลัวที่ดูคุ้นเคยผู้นี้ ดูไปแล้วก็มีอายุที่แตกต่างกับตนเองไม่มากนัก แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริง ตนเองกลับเทียบไม่ติดเลยสักนิด
หลัวซิวขมวดคิ้ว ความลับของปีกไร้มลทินถูกเปิดเผยแล้ว เขาทำได้เพียงแค่หวังว่า ผู้ที่รู้จักความเป็นมาของสมบัติชิ้นนี้ จะไม่รับรู้เร็วนัก
แต่เมื่อเทียบกับปีกทิพย์ไร้มลทินแล้ว หลัวซิวยิ่งไม่กล้าที่จะเปิดเผยฐานะคิงซิวหลัวของตนเองออกไปง่าย ๆ อย่างไรเสีย ปีกทิพย์ไร้มลทินก็ไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ทันทีที่ตัวเขาเองใช้กฎเบญจธาตุ ความผันผวนของออร่ากฎ จะทำให้เกิดตราของกฎขึ้นที่หว่างคิ้ว ผู้ที่มีความรอบรู้เพียงแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเขาผนวกรวมกับชิ้นส่วนกฎแล้ว
ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่มกุฎยุทธ์ เกรงว่าแม้แต่ตาเฒ่าประหลาดระดับมหายุทธ์เหล่านั้น ก็คงทนไม่ได้ที่จะมาแย่งชิงชิ้นส่วนกฎ
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลัวซิวยื่นมือออกไปหยิบแหวนเก็บของและยาทองของผู้อาวุโสตระกูลหยูทั้งสี่ขึ้นมา
เกาเหลียนหงเองก็เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี ครั้งนี้ผู้อาวุโสของตระกูลหยูแทบทั้งหมดถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เช่นนั้นตาเฒ่าประหลาดระดับมกุฎยุทธ์ของตระกูลหยู ย่อมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน
ดังนั้นเกาเหลียงหงจึงไม่พูดอะไรมาก เขารีบดึงหลินจื่อเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ให้ลุกขึ้น กลายเป็นแสงพุ่งไปทางเดียวกับหลัวซิว หนีออกไปจากที่แห่งนี้ด้วยความรวดเร็ว
ผ่านไปครู่เดียว พวกของหลัวซิวเพิ่งจะเดินทางออกมาได้ไม่นานนัก จู่ ๆ ก็เกิดรอยแยกขึ้นบนท้องฟ้าเหนือพื้นที่รกร้างแห่งนี้ มีแสงสะท้อนของดาบที่คมกริบค่อย ๆ รวมตัวกัน ปรากฏขึ้นเป็นภาพของชายชราที่มีหนวดเคราสีขาว
การปรากฏตัวของคนผู้นี้ ทำให้เกิดแรงกดดันอันมหาศาล แผ่ขยายไปเป็นวงกว้าง เขาใช้สำนึกตรวจสอบดู จากนั้นสีหน้าก็เคร่งเครียดทันที ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเขาไม้เสวียนไปสิบกว่าเมตร
……
พวกของหลัวซิวเดินทางผ่านเทือกเขาเหิงหยุนอันกว้างใหญ่ ใช้เวลาอยู่หลายวัน ก็เดินทางกลับมาถึงในประเทศเทียนหวู
จากนั้น ด้วยการนำของหลัวซิว พวกเขาก็ได้นั่งค่ายวาร์ปของคูเมืองนักล่ายุทธ์ขนาดใหญ่ต่าง ๆ จนกลับถึงสำนักไท่เสวียน
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว……”
หลังจากผ่านค่ายพิทักษ์เขาเข้ามาในสำนักเขาแล้ว เกาเหลียนหงก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่ง
“หลายหมื่นปีก่อน บรรพบุรุษของตระกูลเกาผู้หนึ่งรอดชีวิตจากภัยพิบัติ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักไท่เสวียน ต่างเป็นการบอกต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ลูกหลานของตระกูลเกาต่างก็มีเป้าหมายที่จะชุบชีวิตของไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ แต่น่าเสียดายที่จนกระทั่งถึงรุ่นของข้า ก็ยังไม่เคยปรากฏผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือระดับมกุฎยุทธ์ จึงไม่มีความสามารถที่จะสร้างไท่เสวียนขึ้นมาใหม่”
จากสิ่งที่เกาเหลียนหงพูดมา ถึงแม้บรรพบุรุษตระกูลเกาที่เขาพูดถึงผู้นั้น จะรอดชีวิตจากภัยพิบัติ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสชีวิตตกอยู่ในอันตราย ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาไม่ต้องการให้วิชาที่เป็นมรดกของสำนักไท่เสวียนต้องจบสิ้นลงเพียงเท่านี้ จึงยอมทำผิดกฎ ถ่ายทอดให้กับทายาท และทิ้งมรดกของบรรพชนไท่เสวียนเอาไว้
“ที่จริงแล้วสายนภาไท่เสวียนมีผู้คุมกฎหนึ่งคน ข้าจำได้ว่าชื่อของเขาคือเกาเหวินเย่ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจเป็นทายาทของเขา” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดขึ้น