มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 472
ก่อนหน้านี้บนเขาไม้เสวียน กระบวนท่าตราธรรมจุติมรณะ ทำให้พลังจิตแท้ในตัวของหลัวซิวหมดลง แต่การฟื้นฟูพลังจิตแท้ของเขาก็รวดเร็วเช่นกัน ก่อนที่งานประมูลจะสิ้นสุดลง การฟื้นฟูก็เกือบจะเป็นปกติแล้ว
เมื่อเห็นว่ามีผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลหยู ยืนขวางทางอยู่กลางอากาศด้านหน้า บนใบหน้าของหลัวซิว ก็ปรากฏรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา
แต่เกาเหลียนหงกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด ไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสรองหยูไป๋ มีผลการฝึกตนที่พอ ๆ กับตนเอง แต่เป็นเพราะในเมื่ออีกฝ่ายกล้าเข้ามาขวางทางเช่นนี้ นั่นหมายความว่าจะต้องมีวิธีการบางอย่างที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน จึงทำให้พวกเขามีความมั่นใจเช่นนี้
“เจ้าสำนักหลัว ข้ากินว่าเจ้าจะกลัวจนหัวหด หลบอยู่ในเขาไม้เสวียนไม่กล้าออกมาเสียอีก”
เมื่อเห็นพวกของหลัวซิวเหาะเหินเดินอากาศมา หยูไป๋ก็กล่าวเสียดสีด้วยความดูถูกทันที
“เจ้ารีบร้อนที่จะตายขนาดนั้นเชียวหรือ ?” หลัวซิวมีทีที่ไม่ยี่หระ ข้าอุตส่าห์มีเมตตากับสมุนของหยูชุนชิว แต่คนตระกูลหยูกลับไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ ซ้ำยังกล้าส่งคนมาดักฆ่าข้า สมควรตายยิ่งนัก !”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป คนที่ยืนชมการต่อสู้อยู่โดยรอบ ต่างก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันไป เพราะคำพูดนี้ของหลัวซิว หมายความได้ว่าตัวเขานั้นอยู่เหนือกว่าตระกูลหยู
แต่คำพูดที่เขาพูดเหล่านี้ กลับทำให้ทุกคนยากที่จะคัดค้านได้ เพราะบนภูเขาไม้เสวียนในตอนนั้น หยูชุนชิวถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปจริง ๆ แต่สำนักหลัวผู้นี้กลับไม่ได้สังหารเขา กลับให้คนของตระกูลหยูมาหามเขาออกไป
จะว่าไปแล้ว คนผู้นี้ก็ลงมืออย่างมีเมตตาจริง ๆ แต่เป็นตระกูลหยูต่างหากที่ได้คืบจะเอาศอก และกดขี่ผู้อื่น
“โอ้อวดอย่างไม่รู้จักละอายเอาเสียเลย คนที่กล้าล่วงเกินคนของตระกูลหยู ไม่มีใครมีชีวิตรอดอยู่บนโลกนี้ได้ วันนี้เป็นวันตายของสัตว์เดรัจฉานตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้า !”
หยูไป๋หัวเราะเยาะ พลิกมือหยิบยันต์หยกออกมา และบีบจนละเอียด
ขณะที่ยันต์หยกแตกละเอียด มีแสงพร่างพรายส่องสว่างขึ้น ไม่ช้าก็แปลงร่างเป็นเงามืดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์อย่างรวดเร็ว และใช้ฝ่ามือฟาดลงไปยังหลัวซิวทันที
ฝ่ามือนี้ มีพลังที่ยิ่งใหญ่และน่าหวาดกลัวอย่าคาดไม่ถึง โซนโดยรอบเหมือนถูกสะกดเอาไว้ ราวกับอยู่ในกรงขัง ไม่มีหนทางให้หลบหนี ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้น
“เจ้าสำนักระวัง !”
เกาเหลียนหงตกใจจนหน้าถอดสี แอบคิดในใจว่า ไม่แปลกที่ผู้อาวุโสรองจะมีความมั่นใจเช่นนี้ นั่งเพราะเขานำยันต์ระดับ 7 มาด้วยนั่นเอง
ยันต์โจมตีระดับ 7 เทียบเท่ากับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ ภายใต้ความกกดันจากการโจมตีระดับนี้ ทำให้แม้แต่โซนก็ถูกสะกดและกักขังเอาไว้ แม้แต่เกาเหลียนหงเอง ก็ไม่มั่นใจว่าตนเองนั้นจะสามารถหนีรอดไปได้
ทว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับยันต์โจมตีระดับ 7 ที่มีอานุภาพสังหารรุนแรง กลับมีสีหน้าเรียบเฉย
“เจ้าหมอนี่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วหรือ ? นี่เป็นยันต์โจมตีระดับ 7 เชียวนะ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับมกุฎยุทธ์ไม่มีทางต้านทานได้แน่นอน !”
“แต่ว่า ตระกูลหยูเองก็ดูจะร่ำรวยและเย่อหยิ่งไม่น้อย ยันต์ระดับ7 มีมูลค่าหลายแสนหินพลังจิตระดับสูงเชียวนะ !”
ผู้คนโดยรอบต่างพากันทอดถอนใจไม่หยุด
“เปรี้ยง !”
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน มีฝ่ามือขนาดใหญ่ทุบลงมา ทำให้โซนในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรแตกละเอียด มีรอยแยกมือดำอันน่ากลัว แผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้โซนดูราวกับกระจกที่แตกร้าว
เมื่อเกิดการแตกละเอียดกลางอากาศ โซนก็จะเกิดแรงบิดและฉีกขาดอันทรงพลังขึ้นมา มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ฝึกร่างทองฝ่าเซียงเท่านั้นที่จะต้านทานได้ นอกนั้นแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
ทุกคนต่างเพ่งมองอย่างตั้งใจ แต่กลับพบว่าในโซนบนอากาศที่แตกสลาย กลับไม่เห็นเงาของหลัวซิว คนจำนวนมากต่างหันมองหน้ากัน ไม่มีใครเห็นฉากตอนที่เขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เลือดสาดกระเซ็น
“เขาอยู่ตรงนั้น !”
ทันใดนั้น มีคนอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ ทุกคนต่างหันมองตามเสียง ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ
จู่ ๆ ก็มีคนสวมชุดคลุมยาวดำปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของผู้อาวุโสรองตระกูลหยู หยูไป๋ ด้วยใบหน้าดุดัน และมีเจตนาฆ่าที่รุนแรง
“ยันต์ระดับ 7 คือสิ่งที่เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะขาได้อย่างนั้นหรือ ?”
หลัวซิวแสยะยิ้มด้วยความดูถูก ด้วยพลังเสริมจากลูกแก้วเสวียนดำ ทำให้รัศมีรอบตัวเขาพุ่งสูงขึ้น และโจมตีด้วยนิ้วเดียว