มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 509
เนื่องจากเวลาที่กำหนดคือเจ็ดวันต่อมา และหลัวซิวที่กลั่นยาเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปทำการแลกเปลี่ยนกับอาจารย์สำนักฉางเหอ
ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกสี่วัน หลัวซิวจึงได้ตัดสินใจฟื้นฟูพลังจิตแท้ที่เสียไปในการกลั่นยา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลา7วันนั้น อาจารย์สำนักฉางเหอก็สามารถนั่งนิ่ง ๆ หลับตาทำสมาธิปรับลมปราณอยู่ในตำหนักวัฏสงสาร
เมื่อหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นที่ตำหนักวัฏสงสารอีกครั้ง อาจารย์สำนักฉางเหอก็ลืมตาขึ้น พูดพร้อมเสียงหัวเราะ “เจ้าสำนักหลัวช่างตรงเวลาเสียจริง”
“เฮอะ ๆ ข้าน่ะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคำสัญญาเสมอ”
หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม ยื่นขวดหยกที่บรรจุยาเสวียนหยวนลายทองสี่เม็ดให้
ทั้งสองสำเร็จการทำการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ อาจารย์สำนักฉางเหอมองไปทางหลัวซิว “ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักหลัวจะช่วยแนะนำท่านอาจารย์ของท่าน ให้ข้าได้รู้จักได้หรือไม่?”
หลัวซิวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันปรากฎรอยยิ้มเจื่อน ๆ “มิใช่ว่าข้าไม่ยินยอมแนะนำให้ท่านรู้จัก แต่ท่านอาจารย์ของข้านั้นปลีกวิเวกจากโลกไปนานหลายปี ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก”
ยิ่งลึกลับ ก็ยิ่งทำให้คนไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้ สำหรับท่านอาจารย์ลวงตาคนนี้ หลัวซิววางแผนไว้ว่าจะให้เป็นความลึกลับไปตลอด
อาจารย์สำนักฉางเหอเสียดายนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พยายามเซ้าซี้ต่อ จากนั้นก็กล่าวลาหลัวซิวและหมุนตัวเดินจากไป
หลัวซิวเมื่อมองเห็นกล่องหยกที่บรรจุหินตรีภพเอาไว้ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างจนเห็นแผงฟันขาว
เมื่อมีหินตรีภพนี้ เขาแน่ใจว่าภายในอีกไม่กี่วันก็สามารถบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ร่างเนื้อร่างยุทธ์ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะบรรลุถึงแดนมกุฏ
อีกทั้งหินตรีภพชิ้นนี้ เขาก็ยังมียาเสวียนหยวนลายทองที่เพิ่งกลั่นไปอีกด้วย ยาชนิดนี้สามารถยกระดับผลการฝึกตนพลังจิตแท้ได้ กลั่นหนึ่งเตาได้แปดเม็ด แบ่งให้อาจารย์สำนักฉางเหอสี่เม็ด ก็ยังเหลืออีกสี่เม็ด
อาศัยว่าเขาร่างเนื้อร่างยุทธ์บรรลุถึงแดนจักรพรรดิช่วงปลาย สามารถทนต่อพลังของยาระดับเจ็ดได้
ในวันนี้สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น สามารถกล่าวได้ว่าพร้อมด้วยทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวก็คือเวลา
หลังจากนั้นหลัวซิวที่เพิ่งเข้าไปฝึกตนปิดขังอยู่ในหอฝึกฝนแดนปริศนา ผ่านไปได้ไม่นาน ก็มีข้อความส่งเข้ามา อาจารย์สำนักฉางเหอระหว่างทางที่กำลังกลับไปสำนักเขาถูกคนฆ่าตายเสียแล้ว
หลัวซิวไม่สนใจที่จะฝึกตนปิดขัง รีบออกจากหอฝึกฝนแดนปริศนาในทันที มาถึงที่ตำหนักวัฏสงสาร
ศพที่เปื้อนเลือดสด ๆ ถูกขนเข้ามาด้านใน ทำให้หลัวซิวรูม่านตาหดตัวลงทันใด
ศพที่อยู่ตรงหน้า ก็คืออาจารย์สำนักฉางเหอที่ออกจากสำนักไท่เสวียนไปได้ไม่ถึงสองวัน!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลัวซิวถามเสียงเข้ม
“มีคนเอาศพร่างนี้มาแขวนไว้ที่หน้าสำนักเขาแห่งสำนักไท่เสวียนของพวกเรา” สวีจิงเหนียนตอบกลับ
หลัวซิวใช้ตัวสำนึกสำรวจบาดแผลบนกายของอาจารย์สำนักฉางเหอ พบว่าเขาต้องได้พบกับการต่อสู้ที่น่าสลดใจอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้ถูกฆ่าตาย
อาจารย์สำนักฉางเหอมีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ หากต้องการจะฆ่าเขา อย่างน้อยต้องใช้ผู้แข็งแกร่งในแดนถึงสองคน หรือแดนมกุฎยุทธ์ขั้นห้าเป็นคนลงมือเอง
อีกทั้งอาจารย์สำนักฉางเหอแม้จะพ่าย ก็สามารถหนีพ้น เขาอาจจะติดอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือเขาถูกล้อมรอบด้วยศัตรูไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้
อีกฝ่ายหนึ่งโยนศพไว้ที่หน้าสำนักเขาแห่งสำนักไท่เสวียน ซึ่งเป็นการข่มขู่ เตือน และท้าทายสำนักไท่เสวียนอย่างไม่ต้องสงสัย
หลัวซิวโบกมือขึ้น กลั่นหินหยกกลายเป็นโรงศพในทันที อาจารย์สำนักฉางเหอท่านนี้ถึงอย่างไรก็เป็นพันธมิตรของตน ไม่สามารถจะทิ้งศพเขาไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้
เกาเหลียนหงกับสวีจิงเหนียนมองหน้ากันด้วยความสงสัย สามารถสัมผัสได้ถึงความกดดันที่เกิดขึ้น
“ข้ายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว ศัตรูกลับชิงลงมือก่อนเสียแล้ว”
หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก “อีกฝ่ายไม่ได้โจมตีสำนักเขาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต่อกรกับค่ายพิทักษ์เขา อาจจะไม่ใช่ผู้มีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ช่วงปลาย”
สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น เพียงแค่ศัตรูไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายขึ้นไป ก็ยังพอที่จะถ่วงดุลไว้ได้
ในเวลานี้เอง ด้านนอกสำนักเขามีเสียงตะโกนดังเข้ามา “หลัวซิวแห่งสำนักไท่เสวียนอยู่ที่ใด?”
เมื่อเสียงนั้นจบลง ก็เกิดเสียงดังก้องขึ้นบนท้องฟ้า มีคนโจมตีค่ายพิทักษ์เขา
หลัวซิวสีหน้าเย็นชา “แค่เพียงครู่เดียวก็อดทนไม่ไหวเสียแล้วหรือ?”