มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 546
ปัง! ปัง! ปัง! ……
ร่างกายของคนทั้งสองกลายเป็นเงา หลัวซิวไม่ได้ใช้ปราณแท้ อสูรกายสาวก็ไม่ได้ใช้พลัง หนึ่งคนหนึ่งอสูรกายอาศัยพละกำลังของร่างกายเข่นฆ่ากัน การต่อสู้ยากจะแยกฝ่ายใดเป็นผู้เหนือกว่า
“แหมแหม ข้าชักจะยิ่งอยู่ยิ่งชอบเจ้าแล้วสิ ไม่สู้เจ้าอยู่ที่นี่ ข้ารับประกันไม่มีใครทำร้ายเจ้าแน่นอน ว่ายังไง?”
มีลวดลายของมังกรสีทองปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วของอสูรกายสาว ดวงตาทั้งคู่กวาดมองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่มีความเกรงใจด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ
ถึงเป็นนักยุทธ์ร่างที่ฝึกร่างเผ่ามนุษย์ ภายใต้สถานการณ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ร่างเนื้อยังคงด้อยกว่าอสูรกายที่มีลักษณะเฉพาะ มีเพียงส่วนน้อยที่นักยุทธ์ใช้วิชาฝึกร่างขั้นสูง ถึงสามารถฝึกร่างเนื้อจนเทียบเท่ากับเผ่ามาร หรือถึงขั้นเหนือกว่าเผ่ามาร
ส่วนอสูรกายสาวในฐานะที่เป็นเผ่ามังกร มีสายเลือดชั้นสูง ร่างกายย่อมต้องจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของเผ่ามาร และเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าสามารถยืนหยัดสู้กับตนเอง เรื่องนี้ทำให้อสูรกายสาวรู้สึกตกใจมาก
ทว่าอสูรกายสาวกลับไม่รู้ ร่างเนื้อของหลัวซิวไม่ได้อยู่ในระดับที่สูสีกับนาง แต่แข็งแกร่งกว่านาง แต่เป็นเพียงเพราะถูกจำกัดโดยวิชาห้ามค่ายกลของแดนนานาอสูรเท่านั้น
“มังกรสาว เจ้าหนูเผ่ามนุษย์คนนี้ดูแล้วน่าจะอายุยังน้อย คาดว่าขนยังขึ้นไม่ครบเลยมั้ง แต่เจ้ากลับทำอะไรไม่ได้เลย?”
ทันใดนั้น มีเสียงหัวเราะที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินดังขึ้น ชายร่างสูงกำยำหนึ่งเมตรแปด สีผิวเงาเทา ตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับหอคอยสูง รองเท้าเหยียบลงพื้น ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว
ชายร่างใหญ่คนนี้ย่อมกลายร่างมาจากเผ่ามาร การที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ในระดับจักรพรรดิขั้นหก ต้องเป็นอสูรกายที่มีสายเลือดชั้นสูงแน่นอน
เพราะร่างกายของมนุษย์เหมาะแก่การฝึกตนมากกว่า ดังนั้นสำหรับอสูรกาย ยิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ยิ่งมีสายเลือดชั้นสูงมากเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น การเติบโตของศักยภาพก็ย่อมสูงตามไปด้วย
อย่างเช่นหลิงหมิงมังกรไร้เงา สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ตั้งแต่ตอนอยู่ในระดับราชาขั้นห้า
ไม่ต้องสงสัยเลย ในแกนกลางของเขตที่ห้า เผ่ามารที่กลายร่างเป็นมนุษย์แข็งแกร่งที่สุด ชายเผ่าพันธุ์มารตนนี้ไม่ด้อยไปกว่าอสูรกายสาว
“เขาเป็นของข้า เจ้าตัวใหญ่ เจ้ากล้ามาแย่งกับข้า ระวังข้าจะไม่เกรงใจกับเจ้า!” อสูรกายสาวเห็นชายร่างใหญ่ปรากฏตัว มือเท้าเอวตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาทันที
ทว่าในตอนนั้นเอง ร่างของหลัวซิวกระโดดทะยานขึ้นกลางอากาศ ยิ้มแล้วพูด “พวกเจ้าค่อยๆเล่นไปเถอะ ข้าขอตัวก่อนแล้ว”
พูดจบ หลัวซิวใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว กลายเป็นลำแสงบินไปทางส่วนลึกของแกนกลาง
“เหอะเหอะ เจ้าหนุ่มเจ้าหนีไม่พ้นหรอก หรือเจ้าไม่รู้ว่าถ้าเทียบเรื่องของความเร็ว ในเผ่ามารมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเทียบกับเผ่ามังกรของพวกเรา?”
อสูรกายสาวไม่คิดแบบนั้น ร่างกายกลายเป็นแสงสีทอง ไล่ตามหลัวซิวออกไปพร้อมกับเสียงคำรามของมังกร
“ฮึ่ม! มังกรสาวเจ้าอย่าห่วงแต่เล่น ถ้าหากปล่อยให้เขาเข้าใกล้ศิลามรณะ ผลที่ตามมาเป็นยังไงเจ้าก็น่าจะรู้ดี!” ชายร่างใหญ่เผ่ามารตะคอกเสียงดัง
แต่อสูรกายสาวกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงหัวเราะที่เย้ายวนราวกับระฆังเงินของนางเท่านั้นที่สะท้อนบนท้องฟ้า
วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว อันที่จริงเป็นเพราะผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์มนุษย์มีโอกาสเห็นมังกรเขียวเหินหาวอยู่กลางอากาศ และเรียนรู้บางสิ่งจับมัน ซึ่งนำมาสู่การใช้ปราณแท้ที่เป็นลักษณะเฉพาะเพื่อให้ได้ผลที่คล้ายคลึงกัน
แต่ถ้าหากเผชิญหน้ากับเผ่ามังกรที่แท้จริง วิชาท่าร่างแขนงนี้ย่อมไม่สามารถเทียบกับต้นกำเนิดของมัน ดังนั้นในเวลาเพียงไม่กี่สิบอึดใจ หลัวซิวโดนเผ่ามังกรที่กลายร่างเป็นอสูรกายสาวไล่ตามจนทัน
“เหอะเหอะเหอะ ข้าบอกแล้วเจ้าหนุ่มเจ้าหนีไม่พ้น เข้ามาอยู่ในชามของข้าเดี๋ยวนี้”
เสียงหัวเราะของสาวอสูรกายเผ่ามังกรดังเข้ามาในหู หลังจากนั้นมีแสงสีทองรวมตัวกลางอากาศ สุดท้ายกลายเป็นชามขนาดใหญ่คว่ำลงมาคลุมตัวของหลัวซิว
“คิดจะจับข้าเหรอ มังกรตัวเมียอย่างเจ้ายังขาดความสามารถอีกเยอะ” หลัวซิวไม่คิดแบบนั้น ยกมือขึ้นชี้ออกไป ชามสีทองระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงทันที
ครั้งนี้ หลัวซิวไม่ได้เลือกที่จะหนีต่อ แต่หันมาปะทะกับอสูรกายสาวเผ่ามังกรอย่างต่อเนื่อง สู้พลางถอยพลาง