มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 577
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งต่อต้านด้วยฝ่ามือเปล่า ๆ ของเขา ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจก็เผยรอยยิ้มเย้ยยันบนใบหน้า รำพึงออกมาเบา ๆ ‘รนหาที่ตาย’!
“ชายผู้นี่ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน จะใช้เพียงมือเปล่าต้านนักยุทธ์ชั้นดินชั้นสูงงั้นหรือ?” คนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็พากันทำสีหน้าเหยเก คิดในใจว่ามือข้างนั้นของเด็กหนุ่มชุดดำคงจะไม่เหลือเป็นแน่
“ชิ้ง!”
ประกายไฟสาดกระเซ็น ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจคือจังหวะที่มือเปล่านั้นปะทะเข้ากับกริชสีเลือด กลับเกิดเสียงเหมือนเหล็กปะทะเข้าหากันดังขึ้น
ฝ่ามือของหลัวซิวไม่มีแม้แต่รอยแผล ส่วนกริชสีเลือดนั้น ไม่ปรากฏแม้แต่ร่องรอยฝุ่นผงสีขาวสักนิดเดียว
เมื่อมองกลับมาที่ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ เขากลับรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างที่รุนแรงเหมือนสัตว์ประหลาดทำให้เขาไม่อาจต้านทานได้ส่งผ่านมาจากกริช เรียกกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ข้อมือขาดสะบั้น และร่างนั้นก็กระเด็นออกไป
หลัวซิวลงมืออย่างไร้ความปราณี พลังกระบี่เล่มหนึ่งกำลังจะพุ่งออกไป หมายจะฆ่าชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจที่ลอยออกไปกลางอากาศ
“หยุด!”
ในนาทีนั้นเอง ชายชุดแพรคนหนึ่งพุ่งลงมาจากชั้นสองของภัตตาคาร ยกมือขึ้นจับไปยังพลังกระบี่ที่หลัวซิวส่งออกไป และทำลายจนสลายไปในทันที
ภัตตาคารเทียนอีสามารถทำการค้าอยู่กลางเมืองหลัวเทียนได้ แน่นอนว่าจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ชายชุดแพรคนนั้น คือยอดฝีมือที่รับผิดชอบภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้
หลัวซิวครอบครองความสามารถกระแสสัมผัสพลังชีวิต แน่นอนว่ารับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเขาตั้งแต่แรกแล้ว
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าแพรคนนี้ ขมวดคิ้วมองไปทางหลัวซิว “เจ้าหนุ่มไม่ลงมือโหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรือ ถึงขั้นกล้าลงมือฆ่าคนในภัตตาคารเทียนอีของข้า?”
ชายชุดแพรมีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้น9 เทียบเท่ากับผู้คุมกฎเฟิ่งหลิงแห่งเผ่าหงส์
“คนบางคนก็สมควรตาย เพราะถึงต่อให้ตายก็ไม่มีสิ่งใดให้เสียดาย” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อครู่นี้เอง ฉีฝ่าเทียนได้ส่งเสียงผ่านมาทางตัวสำนึกของเขา ที่ภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้คือธุรกิจขององค์กรนักล่ายุทธ์ ให้เขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะสร้างความลำบากให้ตน
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลัวซิว ชายชุดแพรก็พ่นลมหายใจออกมา สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น “ภัตตาคารเทียนอีของพวกเราทำธุรกิจการค้า ดังนั้นลูกค้าทุกท่านหากใครมีความแค้นหรือขัดแย้งต่อกัน โปรดออกไปจัดการที่ด้านนอกภัตตาคาร”
เมื่อพูดจบ ชายชุดแพรก็มองหลัวซิวด้วยแววตาที่ที่เต็มไปด้วยความนับถือ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ในนาทีนี้เอง เหล่าบรรดาศิษย์ที่เหลือของแดนจันทราสีเลือดมือเท้าพันกันรีบพยุงชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจที่ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมา ยังมีคนที่ก่อนหน้านี้ถูกฆ่าตายอีกคนก็ถูกคนพวกนี้หามขึ้นด้วยเช่นกัน
“เจ้าหนู เรื่องไม่จบเท่านี้แน่ แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของข้าไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำให้ขุ่นเคืองได้!” ในขณะที่ถูกพยุงอยู่นั้น ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจยังคงอวดดีกับหลัวซิว
หลัวซิวขมวดคิ้ว หากไม่ใช่เพราะชายชุดแพรวัยกลางคนลงมือช่วยไว้ ชายผู้นี้ก็คงตายด้วยน้ำมือของเขาไปแล้ว ยังจะกล้าปากดีอีกหรือ?
เมื่อจิตสังหารของเขาเรื่องเคลื่อนไหว ฉีฝ่าเทียนกลับห้ามเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เจ้าสำนักหลัว คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดเป็นพวกจิตใจคับแคบความแค้นเพียงเล็กน้อยก็ต้องชำระ ท่านฆ่าตายไปหนึ่งคนยังไม่เท่าไร แต่หากจะฆ่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดอีกคน เรื่องก็คงจะไม่สงบง่าย ๆ เป็นแน่”
“ผู้ลาดตระเวนฉีคงไม่คิดว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจะหยุดมือไว้เพียงเท่านี้?” หลัวซิวขมวดคิ้ว
“ศิษย์คนอื่น ๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดต่างก็ยึดถือคนผู้นี้ว่าเป็นผู้นำ เห็นได้ชัดว่าฐานะของคนคนนี้ไม่ธรรมดา” ฉีฝ่าเทียนพูดด้วยสีหน้ากังวลใจ
ฆ่าศิษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญใดใดของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากไปฆ่าคนที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา เรื่องก็คงจะไปกันใหญ่แน่นอน
หลัวซิวก็รู้ว่าที่ฉีฝ่าเทียนพูดมานั้นก็มีเหตุผล แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ตามรูปแบบการกระทำของเขา จะต้องฆ่าทิ้งให้หมดโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นหลัวซิวเก็บจิตสังหารไปแล้ว ฉีฝ่าเทียนก็เบาใจขึ้นมา ดึงเขากลับมานั่ง พลางพูดเกลี้ยกล่อม “เจ้าสำนักหลัว วิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ในตอนที่อยู่ประเทศเทียนหวูนั้น หากนำมาใช้ที่เมืองหลัวเทียนแห่งนี้ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน”
เมื่อได้ยินฉีฝ่าเทียนพูดเช่นนี้ หลัวซิวก็เข้าใจถึงความหมายที่เขาจะสื่อ เขารู้ดีว่าตนเป็นพวกฆ่าแบบถอนรากถอนโคน ไม่มีความปราณีใดใดสำหรับศัตรู ในตอนนั้นที่ประเทศเทียนหวู เพราะนิสัยและกลวิธีเช่นนี้ จึงทำให้ถูกกองกำลังจำนวนมากไล่ตามฆ่า
แต่ที่ประเทศเทียนหวูนั้นระดับโดยรวมมีขีดจำกัด ช่วงแรกของการฝึกยุทธ์ หลัวซิวอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว ดังนั้นกองกำลังเหล่านั้นที่มีความแค้นต่อเขา สุดท้ายก็ถูกเขาเยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า