มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 582
หลังจากที่คิดว่าตนชนะเดิมพันอย่างแน่นอนและสามารถนำมันมาเยาะเย้ยฉายาเจ้าแห่งไหวพริบที่ไม่มีใครเทียบได้ของหวูชิว ต้วนฉือเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจ
สำหรับคนที่ฝึกตนจนถึงแดนที่สูงเช่นพวกเขาแล้วนั้น นอกจากการฝึกตน ในระหว่างช่วงเวลาที่ยาวนาน ความสนุกสนานเป็นครั้งคราวก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน
เพราะความอายุยืนยาวของพรีเมี่ยมยุทธ์ เป็นเวลาประมาณห้าพันปี เวลานานเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกตนที่น่าเบื่อเพียงอย่างเดียว
“หลี่จ้าน เจ้าน่ะพอถึงเวลาก็ทำให้เต็มที่ล่ะ” ต้วนฉือเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ศิษย์จะพยายาม ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง” ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งนามว่าหลี่จ้านตอบรับอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ณ เวลานี้ สายตาของทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนมองไปที่ประตูของสำนักหลัวเทียน เห็นชายหนุ่มสวมชุดดำรูปร่างผอมบางปรากฏตัวขึ้น เหงื่อออกท่วมตัวไปหมด
“เหนื่อยเกือบตาย…”
ภายใต้ความกดดันของสี่พรีเมี่ยมยุทธ์ หลัวซิวหลังจากเดินข้ามบันไดหลายร้อยขั้น ในที่สุดก้นของเขาก็ได้นั่งลงบนพื้น พร้อมทั้งหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ถึงแม้หัวหน้าลาดตระเวนทั้งสี่คนนี้ไม่ได้จงใจปล่อยลมปราณออกไปเพื่อกดดัน ตามจริงคือลมปราณต่างก็ถูกเก็บไว้ในร่างกาย ไม่มีการรั่วไหลแม้แต่น้อย คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณ แน่นอนว่าจะไม่มีทางรับรู้ได้ถึงความกดดัน มิเช่นนั้นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่ ณ ตอนนี้ ก็คงจะไม่สามารถยืนนิ่งอย่างสงบสุขอยู่ด้านหลังพรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสามท่านได้เป็นแน่
แต่หลัวซิวกลับสามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณของสี่เจ้ายุทธจักร ในขณะที่รับรู้ถึงลมปราณ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่แฝงอยู่ในลมปราณของพรีเมี่ยมยุทธ์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงลำบากมากกว่าจะเดินมาถึงบนนี้
ยังโชคดีที่พรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คนไม่ได้จงใจปล่อยแรงกดดันจากลมปราณออกมา มิเช่นนั้น หลัวซิวเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินมาถึงหน้าสำนักหลัวเทียนแห่งนี้
หลัวซิวตะลึงงัน เขาขึ้นบันไดมา ด้วยความเหนื่อยมากจึงได้นั่งลงไปกับพื้น ในเวลานี้เองถึงได้สังเกตว่ามีปูชนียบุคคลทั้งสี่กำลังส่งสายตามองมาที่ตัวเขาอยู่
สารรูปเช่นนี้ มันดูค่อนข้างน่าเกลียด อีกทั้งยังเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก
แต่ว่าสี่เจ้ายุทธจักรที่อยู่ในโถงนั้น กลับไม่ได้สนใจในส่วนที่เข้าเสียมารยาท กลับกันแต่ละคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจแทน
“เขาสามารถสัมผัสถึงพลังลมปราณของเราที่เก็บซ่อนเอาไว้ได้จริง ๆ หรือ?” ด้วยสายตาของสี่เจ้ายุทธจักร แน่นอนว่าสามารถดูออกว่าหลัวซิวได้กำลังแสดงละครอยู่
โดยเฉพาะเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋ที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่กลับเป็นคนแรกที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป
การฝึกตนของเขาคือพิฆาต อีกทั้งยังไม่ได้ฝึกตามกฎทั่วไป ที่ฝึกคือวิชาลอบสังหาร ที่เชี่ยวชาญที่สุดคือการเก็บพลังลมปราณ เพื่อที่จะเข้าใกล้ศัตรูได้โดยไม่มีสัญญาณใด ๆ โจมตีแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ภายใต้การเก็บพลังลมปราณของตน แต่กลับถูกคนรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของลมปราณ นั่นก็หมายความว่าตนไม่สามารถใช้วิธีการลอบฆ่า เพื่อจู่โจมคนคนนั้นได้
ที่ทำให้คนรู้สึกยอมรับไม่ได้มากที่สุดคือ คนคนนี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่คนหนึ่งที่มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธิ์เท่านั้น!
รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของเซียวโป๋ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ร่องรอยของเจตนาฆ่าปรากฏขึ้น และหัวใจของเขาไม่สามารถสงบได้
เขากลับรู้สึกได้ถึงการคุกคามจากผู้น้อยระดับจักรพรรดิยุทธ์ จิตสังหารจึงเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ
เมื่อถูกพรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คนจ้องมองมา หลัวซิวก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มากกว่าเดิม เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า การมีพลังกระแสสัมผัสพลังชีวิต กลับไม่ใช่เรื่องดี เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจเก็บพลังลมปราณไว้อย่างดีแล้ว แต่ตนกลับยังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน นี่มันขุดหลุมฝังตัวเองชัด ๆ?
แต่ระหว่างทางมีบันไดหลายร้อยขั้น หลัวซิวก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับพลังกดขี่จากลมปราณนี้บ้างแล้ว จึงได้ลุกขึ้นยืน มือประกบเข้าหากันเป็นการคารวะ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “หลัวซิว คารวะสี่เจ้ายุทธจักร”
เขาไม่รู้จักสี่เจ้ายุทธจักร แต่ก็เคยได้ยินอนาคินสี่เจ้ายุทธจักร รู้ว่าใครที่สามารถนั่งในห้องโถงนี้ได้ ต้องเป็นคนใหญ่โตที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่
“ไม่ต้องมากพิธี เข้ามาเถอะ” หวูชิวยิ้มบาง ๆ