มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 591
ในตอนนี้นั่นเอง เสียงหยาบกระด้างก็ได้ดังลอยเข้ามาในหูของเขา “หลัวซิว เจ้าต้องแพ้อย่างแน่นอน!”
หลัวซิวหันไปมอง พบว่าคนที่พูดประโยคนี้ออกมานั้น คือบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียน เมื่อตอนอยู่ด้านในสำนักหลัวเทียนนั่นเอง จำได้อย่างเลือนรางว่ามีนามว่าหลี่จ้าน เป็นอัจฉริยะที่มาจากอาณาจักรเหนือ
“ประหลาดคนเสียจริง” สิ่งที่หลี่จ้านกล่าวออกมานั้น ทำให้หลัวซิวมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา ตนไม่เคยล่วงเกินบุรุษผู้นี้ ทำไมเขาถึงได้บอกว่าตนจักต้องแพ้แน่?
เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็คร้านที่จะไปสนใจเขา และได้เดินตรงไปยังแท่นบัวเพลิงอัคคี
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่สนใจตน หลี่จ้านคิดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ร่องรอยของความโมโหปรากฏออกมาจากคิ้วหนาและดวงตากลมโต
ตูมมมม!
เห็นเพียงหลี่จ้านพลันก้าวเท้าออกมา ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนอากาศ เกิดเสียงดังกระหึ่มเหมือนระเบิดขึ้นมา ร่างกายเป็นเหมือนดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งออกจากกระบอก
“ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องแพ้ให้กับข้าแน่!”
เมื่อเสียงของหลี่จ้านดังข้ามาในหูอีกครั้ง หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน สีหน้าหม่นหมองลง
เพราะเจ้าคนนั้นพลันเพิ่มความเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ได้ขึ้นไปยึดครองแท่นบัวเพลิงอัคคีที่ตนกำลังจะไป
ไม่เพียงแย่งแท่นบัวเพลิงอัคคีของตน เจ้าคนนี้ยังยโสโอหังเหมือนว่ามันเป็นผู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่เพราะกฎในรอบแรกกำหนดอย่างชัดเจนแล้วว่าห้ามลงมือ หลัวซิวจะต้องทำให้เจ้าคนนี้ได้รู้อย่างแน่นอนว่าทำไมดอกไม้ถึงได้แดงแบบนั้น!
สำหรับการกระทำที่ผิดปกติของหลี่จ้าน หลัวซิวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนไม่ถูกกันกับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว นี่เป็นเรื่องที่ต่างก็รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นถึงได้คิดเป็นอันดับแรกว่า เป็นเพราะเรื่องนี้หลี่จ้านถึงได้หาเรื่องตน
“เจ้าตัวใหญ่ ทางที่ดีเจ้าจะต้องรู้สึกโชคดีที่ไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า” หลัวซิวบดฟันกรามเล็กน้อย จากนั้นก็เลือกแท่นบัวเพลิงอัคคีแทนอื่นแล้วเดินเข้าไป
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของหลัวซิว ทำให้ชายที่หยาบคายอย่างหลี่จ้านชะงักไปเล็กน้อย ตามความคิดของเขา หลัวซิวผู้นี้จะต้องถกเถียงกับเขาถึงจะถูก
“ช่างยโสโอหังยิ่งนัก ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะอาศัยผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์เทียบเคียงกับข้าหลี่จ้านได้อย่างไร!” หลัวซิวถูกหลี่จ้านจัดให้อยู่ในกลุ่มคนที่ยโสโอหังที่สุด แต่หารู้ไม่ว่าที่หลัวซิวเป็นเช่นนี้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าตนเป็นคนสำคัญในการเดิมพันของจ้ายุทธจักรทั้งสอง
ภายในเมืองหลัวเทียน ผู้คนที่มาชมการประลองยุทธ์ในครั้งนี้นั้นมีจำนวนมาก แต่ที่เข้าร่วมการประลองจริง ๆ นั้นมีเพียงเหล่าอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่มีจำนวนน้อยมาก
เมื่อมีคนจำนวนมาก ก็ต้องหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้เป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกอัจฉริยะที่มีเชื่อเสียงเอามากเหล่านั้น ยิ่งมีการเอ่ยถึงมากที่สุด
“เห็นเจ้าคนนั้นหรือยัง? คนที่สวมชุดดำคนนั้น ได้ยินว่าเมื่ออยู่ที่ภัตตาคารเทียนอีไม่กี่วันก่อน เขาได้ทำร้ายลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจนตายหนึ่งคนและบาดเจ็บอีกหนึ่งคน!”
“ว่าอย่างไรนะ? คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดตายหนึ่งคนและบาดเจ็บอีกหนึ่งคน? คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดไม่เคยยอมเสียเปรียบแต่ไหนแต่ไรมาเชียวนะ”
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ภัตตาคารเทียนอี ผู้คนส่วนมากต่างก็รับรู้ แต่คนที่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหลัวซิวนั้นกลับมีไม่มาก
พวกอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่ได้ยึดครองแท่นบัวเพลิงอัคคีแห่งหนึ่งไปแล้วนั้น ต่างก็ได้มองมาที่หลัวซิว และคอยจับตามองอย่างเงียบ ๆ
เพราะไม่ว่าอย่างไรคนที่กล้ามีเรื่องกับพวกวิปริตอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดพวกนั้น จักต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ครั้งนี้ไม่มีพิจารณาลี่จ้านผู้นั้นมาก่อกวน หลัวซิวได้เดินไปถึงแท่นบัวเพลิงอัคคีแห่งหนึ่งได้อย่างราบรื่น
เขานั่งขัดสมาธิลง และมองสายตาไปรอบ ๆ พบว่าแท่นบัวเพลิงอัคคีส่วนมากต่างก็มีคนอยู่บนนั้นแล้วมีเพียงแท่นบัวเพลิงอัคคีส่วนน้อยที่ยังว่างอยู่ อัจฉริยะหนุ่มสาวมากมายต่างใช้พลังทั้งหมดต่อต้านพลังกดดัน เพื่อขยับเข้าใกล้แท่นบัวเพลิงอัคคีอย่างต่อเนื่อง
ใช้สายตามอง ไม่อาจทราบได้ว่าฝีมือของใครคนหนึ่งนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แม้ว่าหลัวซิวจะมีกระแสสัมผัสพลังชีวิต ก็ทราบดีว่าถึงแม้พลังชีวิตของคนคนหนึ่งจะสูงส่งเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นจะมีฝีมือที่แข็งแกร่ง
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป แท่นบัวเพลิงอัคคีทั้งหนึ่งร้อยกว่าแท่นต่างมีเจ้าของ หลัวซิวสังเกตเห็นว่าลู่เมิ่งเหยาเองก็ผ่านด่านเข้ามาได้เช่นเดียวกัน ในตอนที่เขามองไป นางก็ได้มองมาเช่นเดียวกัน
เขาเห็นลู่เมิ่งเหยามองมาทางเขาพร้อมกับยิ้มและพยักหน้า เขาก็ยิ้มตอบ