มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 697
แม้ว่าพลังของเขาจะแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทั้งสามคนนี้ แต่เมื่อทั้งสามคนร่วมมือกันกลับสามารถบีบเขาให้จนมุมได้
มหายุทธ์กลั่นร่างเข้ามาโจมตีเขาก่อน ส่วนมหายุทธ์กลั่นวิญญาณก็ใช้ตัวสำนึกกลายรูปฉวยจังหวะในการโจมตี มหายุทธ์ผู้มีพลังจิตแท้เข้มข้นทำหน้าที่ในการโจมตีหลัก ทักษะยุทธ์วิชายิ่งเลิศแต่ละกระบวนท่าโจมตีเข้าใส่หลัวซิวจนส่งเสียงร้องโอดครวญเป็นระยะ
เวลาครึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
เหตุการณ์ที่หลัวซิวผ่านด่านย่อมตกอยู่ในสายตาของเทวทูตจื่อเยียนและเจ้าแดนหลิวหงเทียน
“มกุฎยุทธ์ขั้นสี่สามารถผ่านด่านชั้นที่สามของหอคอยมหาภพได้ ดูท่าแล้วหากสู้ต่อไปอีกหนึ่งก้านธูปก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร” หลิวหงเทียน กล่าวอย่างขมขื่นเล็กน้อย
หากว่ากันตามน้ำใจแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมอยากสนับสนุนซิงหลิง แต่ในฐานะที่เขาเป็น เจ้าแดน เมื่อเขาได้รับหน้าที่มาก็ย่อมต้องทำหน้าที่นั้น ในใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่าพรสวรรค์และความสามารถของหลัวซิวนั้นเหนือกว่าซิงหลิงอยู่หนึ่งขั้น
“สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญนั้นไม่ใช่แค่เพียงพรสวรรค์ของเขาแต่ยังเป็นความสามารถในการเข้าใจ” เทวทูตจื่อเยียนอมยิ้ม “เขาตระหนักรู้พลังแห่งกฎได้อย่างรวดเร็ว แต่เข้าใจเพียงด้านเดียว ท่านดูกระบวนท่าที่เขาใช้สิ แม้ว่าจะดูอ่อนหัดและมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นกระบวนท่าที่เขาคิดขึ้นมาเอง ดังนั้นเขาจึงมีความสามารถมากกว่า”
“การฝึกฝนวรยุทธ์จากคนก่อนหน้า ไม่มีทางเหนือกว่าคนก่อนหน้าได้ มีเพียงการคิดค้นขึ้นมาเองเท่านั้นถึงจะมีเส้นทางที่บุกเบิกเป็นของตัวเอง”
“ใช่แล้ว อายุยังน้อยเท่านี้แต่กลับเข้าใจในประเด็นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของผู้ใด” หลิวหงเทียนกล่าว
“เจ้าแดนหลิวพูดไม่ถูกเท่าไหร่นัก ข้าเคยสืบเรื่องราวของหลัวซิวมาแล้ว เขาไม่ได้สืบทอดวิชามาจากใคร แต่ได้รับการสืบทอดส่วนหนึ่งมาจากสำนักไท่เสวียนโบราณในโลกแสงดาว” เทวทูตจื่อเยียนกล่าว
“ไท่เสวียนโบราณ?” เจ้าแดนหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดอยู่สักพักหนึ่งจึงคิดออก “ที่สำนักไท่เสวียนโบราณเคยปรากฏเทพมาร คนเดียวเท่านั้น และยังเป็นเพียงเทพมารธรรมดาๆ ด้วย หากจะมีผู้สืบทอดก็คงเป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดวิชายิ่งเลิศชั้นล่างเท่านั้น”
ความหมายของหลิวหงเทียนนั้นชัดเจน นั่นคือหากอาศัยเพียงฐานะผู้สืบทอดสำนักไท่เสวียน ไม่มีทางที่หลัวซิวจะเดินมาถึงจุดนี้ได้
ทว่าเทวทูตจื่อเยียนกลับส่ายหน้า “หากเป็นคนธรรมดาๆ คงเป็นไปไม่ได้ แต่หลัวซิวนั้นแตกต่าง ดังนั้นข้าถึงบอกว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเข้าใจสูงมาก”
“ท่านดูทักษะการต่อสู้หมัดกระบี่ของเขาสิ มีเงาของวิชาสังหารไท่เสวียนแฝงอยู่ในนั้นด้วย แม้ว่าจะไม่เด็ดขาดเท่าวิชาสังหารไท่เสวียน แต่เขาเป็นคนสรรค์สร้างมันขึ้นมาเอง จึงเหมาะสมกับตัวเขามากที่สุด พลังที่แสดงออกมาจึงเหนือกว่าวิชาสังหารไท่เสวียนหลายเท่านัก”
“ท่านลองดูวิธีการตัวสำนึกกลายรูปของเขาสิ นั่นเป็นสิ่งที่เขาได้มาจากหอคอยเทพจิต และก่อนที่เขาจะเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ นี่ยังเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้”
ยิ่งเทวทูตจื่อเยียนมองหลัวซิวก็ยิ่งพอใจ นางอยู่ที่โลกแสงดาวมานานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว นี่เป็นอัจฉริยะคนแรกที่นางรู้สึกชื่นชม
ในขณะที่เทวทูตจื่อเยียนและหลิวหงเทียนกำลังสนทนากันอยู่นั้น หลัวซิวที่อยู่บนหอคอยมหาภพชั้นสาม เขาสูญเสียการฝึกตนไปแล้วเกือบหกเท่า หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดออกมา เพราะเขาได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยเช่นกัน
แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าจะต้องมีผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์เฝ้ามองเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าโคจรพลังแห่งชีวิตเพื่อฟื้นฟูบาดแผล เพราะหากเขาใช้พร้อมๆ กับกฎแห่งความตายแล้ว การสังหารคนทั้งสามคนนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
“ตายเป็นตาย!”
เมื่อเห็นว่าเวลาหนึ่งก้านธูปกำลังจะหมดไป หลัวซิวจึงแผดเสียงออกมา โดยโคจรกฎแห่งความตายและใช้ตราธรรมจุติมรณะ
ตราธรรมจุติมรณะเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เขาใช้มักจะใช้พลังความเป็นตายทั้งสองอย่างคู่กัน แต่คราวนี้ เขาจะใช้เพียงพลังแห่งความตายเท่านั้น ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก