มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 717
เฟิ่งหยุนเซี๋ยร้องออกมาอย่างอนาถอีกครั้ง “เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ ท่านพ่อของข้าเป็นผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าเองก็จ้องตายอย่างแน่นอน!”
“อาวุโสของเผ่าหงส์แล้วอย่างไร?” หลัวซิวยิ้มเยาะ ดีดนิ้วออกมากลางอากาศ เปลวเพลิงสีทองลอยออกไปเหมือนดั่งลูกธนูในทันที พุ่งเข้าใส่ชายชราในชุดคลุมแดงที่กำลังกระโจนเข้ามา
“อ้ากกก!……”
เกราะป้องกันพลังจิตแท้บนร่างของชายชราในชุดคลุมแดงถูกเปลวเพลิงสีทองทะลุผ่านไปอย่างง่ายดาย จากนั้นชายชราในชุดคลุมแดงผู้นี้ก็ร้องออกมาอย่างอนาถ ร่างกายถูกเปลวไฟสีทองครอบคลุมไปโดยสิ้นเชิง
เปลวไฟสีทองนี้ คือมกุฎอัคคีนภาเหลืองที่หลัวซิวใช้การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีฝึกฝนขึ้นมานั่นเอง แผดเผาให้ตายได้แม้กระทั่งเจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่ง จะนับประสาอะไรกับเพียงแค่มหายุทธ์?
ไม่ถึงสองลมหายใจเข้าออก ร่างของชายชราชุดแดงกลายเป็นความว่างเปล่า และเมื่อเฟิ่งหยุนเซี๋ยได้เห็นภาพเช่นนี้ ก็ต้องอึ้งทึ่งตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิง นั่นมันเปลวเพลิงอะไรกัน ถึงได้น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้?
นับจากที่หลัวซิวได้ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็ได้ทำให้เฟิ่งหยุนเซี๋ยบาดเจ็บหนัก สังหารชายชราชุดแดง กระบวนการทั้งหมดดูเหมือนยาวนาน ที่จริงแล้วไม่ถึงสิบลมหายใจเข้าออก
เฟิ่งหยุนเซี๋ยในเวลานี้ได้หวาดกลัวโดยสิ้นเชิง ภายในใจของเขาได้ด่ายายแก่เฟิ่งหลีไปต่าง ๆ นานาแล้ว เจ้าคนนี้เป็นมกุฎยุทธ์เสียที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่ามหายุทธ์เหมือนหมูเหมือนหมา!
“หลัวซิว ขอเพียงเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง”
เฟิ่งหยุนเซี๋ยพยายามทำให้ตัวเองสงบลง ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เข้ารู้ดีว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้
ในตอนนี้เฟิ่งหยุนเซี๋ยรู้สึกเสียใจในภายหลังเป็นอย่างยิ่ง แม้เขาจะมีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ขั้นห้า แต่พรสวรรค์และมันสมองของเขาเองไม่นับว่าดีสักเท่าไหร่ หลัก ๆ คืออาศัยว่าบิดาของตนเองเป็นผู้อาวุโสเผ่าหงส์ ถึงได้มีผลการฝึกตนในระดับนี้ได้
เขามองดูสีหน้าหลัวซิวอย่างประหม่า เกรงว่าคนเหี้ยมโหดผู้นี้จะสังหารตนเอง
ในตอนนี้เอง กระแสพลังอันแรงกล้าสองสายได้พุ่งมาจากทางทิศเหนือ ก่อนที่จะสิ้นใจชายชราชุดแดงได้บีบม้วนหยกแตก ยายแก่เฟิ่งหลีและเฟิ่งจางก็ได้รีบมาที่นี่โดยเร็วที่สุด
“หลัวซิว เจ้ากล้าสังหารคนในเผ่าของข้าหรือ?” เฟิ่งหลีตวาดอย่างเดือดดาล
“ฆ่าแล้วอย่างไร?” หลัวซิวยิ้มอย่างเย็นชา มองไปยังเฟิ่งหยุนเซี๋ย “นำเสียงของยายแก่โอหังเช่นนี้ ข้ากลัวว่าจะทำให้เจ้าบาดเจ็บโดยไม่ระวัง”
คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นบุตรชายของผู้อาวุโสเผ่าหงส์ เห็นได้ชัดว่าพอมีฐานะอยู่บ้าง
ถึงแม้เฟิ่งหยุนเซี๋ยจะยโสโอหัง แต่ก็ไม่ได้โง่ เข้าใจความหมายของหลัวซิวในทันที และหันไปตวาดใส่ยายแก่: “เฟิ่งหลี เจ้าหุบปากเสีย!”
“คุณชายหยุนเซี๋ย……” เฟิ่งหลีสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก มองไปยังหลัวซิวอย่างเย็นชา “หากเจ้ากล้าทำอันตรายคุณชายหยุนเซี๋ยแม้แต่ปลายขน ข้าต้องทำให้เจ้าเหมือนตายทั้งเป็นแน่!”
เฟิ่งหลีผู้นี่ไม่มีท่าทีที่จะกล่าวอย่างอ่อนโยนเลย เห็นได้ชัดว่าโดยปกติแล้วในฐานะคนรับใช้ที่ติดตามเจ้ายุทธจักรหงส์มาเป็นเวลานาน นางยโสโอหังจนเคยชินแล้ว
“ให้ข้าเหมือนตายทั้งเป็นอย่างนั้นหรือ?” หลัวซิวยิ้มออกมา นิ้วมือดีดออก เฟิ่งหยุนเซี๋ยนั่นร้องออกมาอย่างอนาถทันที บนร่างกายมีรูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรู
“เจ้าช่างบังอาจนัก!” ใบหน้าแก่ ๆ ของเฟิ่งหลีบิดเบี้ยวขึ้นมา “อย่าคิดว่าเจ้ามีฝีมือเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ อย่าลืมเสียล่ะว่า ญาติสนิทของเข้าต่างก็อยู่ในสำนักไท่เสวียน!”
ญาติสนิทเป็นสิ่งสำคัญของหลัวซิวมาโดยตลอด ผู้ใดแตะต้องผู้นั้นต้องตาย!
“ดูท่าแล้ว ยายแก่นั่นไม่คิดที่จะช่วยเจ้าเลย ถึงขั้นที่ว่านางได้ทำให้ข้าโมโหขึ้นมาแล้ว” หลัวซิวมองไปยังเฟิ่งหยุนเซี๋ยพลางยิ้มกล่าว
“ข้า……”
เฟิ่งหยุนเซี๋ยกำลังจะเอ่ยขึ้นมา แต่เสียงของเขากลับขาดหายไปทันที ปราณกระบี่อัคคีดำได้ทะลุผ่านตรงกลางระหว่างคิ้วของเขาไป
เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด เฟิ่งหยุนเซี๋ยเบิกตาโพลงอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นร่างไร้วิญญาณก็ถูกเปลวเพลิงสีดำแผดเผากลายเป็นผุยผง ปลิวหายไปในอากาศ