“แม้ว่าสภาพแวดล้อมของแดนดารานอกจะโหดร้าย แต่ก็มียาวิเศษล้ำค่าอยู่มากมาย รวมทั้งสมบัติวิเศษและโอกาสที่ล้ำค่า ดังนั้นจึงได้มีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งไปฝึกหาประสบการณ์ที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง”
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงหงเทียน หลัวซิวรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาจริง ๆ ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะไปที่แห่งใดในโลกแสงดาว ต่างก็มีคนแอบซ่อนรอลงมือกับตนเองอยู่ในที่ลับ เพื่อแย่งชิงสมบัติวิเศษ
แม้จะมีคำเตือนจากหลิวหงเทียน แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะมีบางแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน และให้ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ลงมือ
ดังนั้นถ้าหากสามารถไปจากโลกแสงดาวได้ ก็จะสามารถหนีห่างจากสถานที่อันตรายแห่งนี้เป็นการชั่วคราวได้ รอจนตนเองมีความสามารถในการต่อสู้ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้วค่อยกลับมา พอถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไป
“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าไปที่แดนดารานอก ต้องมีเงื่อนไขเช่นไร?” หลัวซิวเอ่ยถาม
หลิงหงเทียนยิ้มเล็กน้อย เขาทราบดีว่าในเมื่อหลัวซิวถามเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่าเขาได้มีความคิดที่จะไปยังแดนดารานอก
หากว่าหลัวซิวสามารถไปที่แดนดารานอก นับว่าเป็นเรื่องที่ดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากหลัวซิวยังอยู่ที่โลกแสงดาว ไม่ว่าเขาจะถูกสังหารโดยแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หรือว่าเขาสังหารยอดฝีมือของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ล้วนเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงของเผ่าพันธุ์มนุษย์
“ไม่มีเงื่อนไขพิเศษอันใด แต่อย่างไรข้าก็ต้องเตือนเจ้าหนึ่งประโยค แดนดารานอกเป็นโลกที่แตกสลายแห่งหนึ่ง แม้จะเป็นสถานที่ฝึกประสบการณ์ที่ไม่เลว แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นเดียวกัน โอกาสรอดตายมีน้อยมากก็ว่าได้”
“และในโลกแห่งนั้น ไม่ได้มีแค่โลกแสงดาวของเราที่ไปฝึกประสบการณ์ ยังมีผู้แข็งแกร่งของโลกอื่น ๆ ในพิภพต่ำ ไปที่นั่น เจ้าจะต้องระมัดระวังสำหรับทุกเรื่อง”
โดยปกติแล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารนิรันกาลถึงจะมีความสามารถในการเดินทางข้ามช่องปริภูมิได้ แต่เนื่องจากแดนดารานอกได้ล่มสลายไป ปริภูมิไร้ซึ่งความมั่นคง ดังนั้นขอแค่มีความสามารถในระดับเจ้ายุทธจักร ก็สามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองโลก เพื่อเดินทางสู่ที่นั่นได้
ถึงแม้หลิวหงเทียนจะได้กล่าวถึงแดนดารานอกว่าอันตรายเพียงใด หลัวซิวไม่เพียงไม่ลังเล ในทางกลับกันเมื่อได้ยินหลิวหงเทียนบอกว่าจะได้พบกับจอมยุทธ์จากโลกอื่น ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา เพราะแต่ในแต่ไรมานั้นเขาเคยพบแค่จอมยุทธ์ในโลกแสงดาว ยังไม้เคยพบเห็นจอมยุทธ์จากโลกอื่นมาก่อน
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวได้ทำการตัดสินใจแล้ว หลิวหงเทียนก็ไม่พูดอะไรมากอีก ยกมือและซัดออกไปในอากาศหนึ่งฝ่ามือ ช่องอากาศบริเวณหนึ่งได้แตกออกเหมือนดั่งกระจก ปรากฏให้เห็นเส้นทางแห่งปริภูมิที่มืดดำสายหนึ่งขึ้นมา
และนี่ก็คือพลังอันน่าสะพรึงกลัวของผู้แข็งแกร่งเทพมาร แค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็สามารถทะลวงปริภูมิ ทำให้เกิดเส้นทางแห่งปริภูมิออกมาได้
หลัวซิวเองก็ไม่คิดสิ่งใดมาก และเดินเข้าไปในเส้นทางแห่งปริภูมิทันที บริเวณรออบด้านมืดสนิท สติการรับรู้จมอยู่ในความมืด และเริ่มเดินทางไปในช่องอากาศ
……
ใช้พลังเทพสูงสุดเพื่อเปิดเส้นทางแห่งปริภูมิให้หลัวซิวเดินทางไปยังแดนดารานอก บนใบหน้าชราของหลิวหงเทียน ปะปนไปด้วยความจนใจเล็กน้อย
แม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกแสงดาว เขาเองก็มีภารกิจที่จำใจของตนเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้น เงาร่างมนุษย์สายหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นบนอากาศที่อยู่ห่างออกไป คนผู้นั้นก้าวเดินอยู่ในอากาศ ตรงมายังทางด้านนี้
“ท่านหลิว”
ผู้ที่มานั้นทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงดาว ดวงดาวล่องลอยอยู่รอบกาย เปล่งประกายระยิบระยับ เป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักดารานภานั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง เจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง เจ้านิกายมารศักดิ์สิทธิ์ เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ ทางก็ทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย เจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งสี่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ นั่งอยู่ร่วมกันกับหลิวหงเทียน
พวกเขาห้าคน เป็นผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกแสงดาว
……
การเดินทางในเส้นทางแห้งปริภูมิ ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของการที่ปริภูมิแตกฉีก จนกระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ความรู้สึกนึกคิดของเขาถึงได้สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายหลุดพ้นออกจากเส้นทางแห่งปริภูมิ มาถึงจุดหมายปลายทาง
เนื่องจากความระมัดระวังของสภาพจิต ปฏิกิริยาแลกของหลัวซิวไม่ใช่การมองด้วยสายตา แต่ได้ใช้ตัวสำนึกออกมา เพื่อสำรวจความเคลื่อนไหวในบริเวณรอบ ๆ