หลัวซิวได้ยินเสียงพึมพำจากทางฝั่งค่ายมืด เจ้าดาซีคนนี้คือยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากจากหอคอยเทวสว่าง ว่ากันว่าอีกไม่นานก็จะสามารถบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร เตียมที่จะเข้าทัพชั้นที่สองของหอคอยเทวสว่าง
ครั้งนี้เขามาท้าประลองที่ตำหนักเทวมืด นั่นก็เพราะเขาวางแผนว่าก่อนจะเข้าทัพไปยังชั้นที่สองของหอคอยเทวสว่าง จะโจมตีขวัญกำลังใจของค่ายมืดเสียก่อน
“สิ่งมีชีวิตดำมืดที่ทั้งชั่วร้ายทั้งยังโสโครก ดูแล้วพวกเจ้าคงไม่มีใครกล้าหาญขึ้นมาแล้วหรือ?” ดาซีพูดขึ้นอย่างเหยียดหยามและหยิ่งผยอง
“กำจัดไอ้เจ้านี่จะได้รับแต้มห้วงกระบี่เท่าใดหรือ?” หลัวซิวหันไปถามเผ่ามนุษย์อสูรด้านข้างคนหนึ่ง
“เขามีผลการฝึกตนมหายุทธ์ขั้นเก้า สามารถได้รับ 32 แต้มห้วงกระบี่” เผ่ามนุษย์อสูรตอบด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง
“เพียงแค่ 32 แต้ม?” หลัวซิวขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามันน้อยไปหน่อย
“แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่ 32 แต้ม ที่ตัวเขายังมีแต้มคุณความดีอย่างน้อย ๆ ไม่ต่ำกว่าห้าร้อยแต้ม หลังจากกำจัดเขาได้แล้วจะสามารถได้รับแต้มห้วงกระบี่ในจำนวนที่เท่ากันอีกด้วย” เผ่ามนุษย์อสูรพูดเสริมอีกเล็กน้อย
“ค่อยเข้าท่าหน่อย” หลัวซิวหัวเราะออกมา จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปด้านหน้าทันที
“ไอ้พวกตาขาว ไม่มีใครขึ้นมาแล้วหรือ?” ดาซียืนบนแท่นประลองด้วยความผยองและอวดดี รู้สึกว่าเท่านี้ก็น่าจะพอได้แล้ว
ในตอนที่เขากำลังเตรียมจะเดินลงมาจากแท่นประลอง ดื่มด่ำการต้อนรับจากชาวค่ายสว่างนั้นเอง เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้น “อย่าเพิ่งรีบ ข้าท้าประลองกับเจ้า”
ชั้นที่หนึ่งของหอคอยเทวไม่มีความน่าตื่นเต้นใด ๆ หลัวซิวไม่ได้วางแผนว่าจะหยุดอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงวางแวนว่ากำจัดเจ้าดาซีนี่ทิ้งเสีย เมื่อได้รับแต้มห้วงกระบี่หลักร้อยแต้ม ก็จะสามารถขึ้นไปที่ชั้นสองได้โดยตรง
สายตาของทุกคนต่างก็หันมามอง ตัวสำนึกมากมายกวาดผ่านตราประทับสีดำบนหน้าอกของหลัวซิว
เหล่าบรรดาค่ายมือที่มีความหวังอยู่เล็กน้อย ในชั่วพริบตากลับหดหายไปกว่าครึ่ง
“แดนมหายุทธ์ขั้นห้า?”
บนแท่นประลอง ดาซีเป็นถึงมหายุทธ์ขั้นเก้า อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่สามารถต่อสู้ข้ามแดนได้ เจ้าหนุ่มนี่คิดจะขึ้นไปตายหรืออย่างไร?
ค่ายสว่างเมื่อเห็นหลัวซิวเดินขึ้นไปบนแท่นประลอง ตอนแรกก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นทุกคนต่างกันพากันหัวเราะขึ้นมา
“ค่ายมืดดูท่าน่าจะไม่มีใครแล้ว จึงได้ให้มหายุทธ์ช่วงกลางคนหนึ่งออกมาสู้?”
“พวกเจ้าตำหนักเทวมืด ผู้แข็งแกร่งชั้นหนึ่งมีกี่คนหรือที่มีคุณสมบัติขึ้นไปที่ชั้นสอง? เวลาเช่นนี้เหตุใดจึงหดหัวอยู่ได้เล่า?”
เผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ ของค่ายสว่าง ทางฝั่งค่ายมืดต่างก็พากันอดกลั้นความโมโหเอาไว้
เดิมทีชั้นหนึ่งตำหนักเทวมืดมียอดฝีมืออยู่หลายคน พลังนั้นหากเทียบกันกับดาซีแล้ว บางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน เหล่ายอดฝีมือพวกนั้นต่างพากันบรรลุขึ้นไปถึงแดนเจ้ายุทธจักรและขึ้นไปที่ชั้นสองแล้ว เพราะสำหรับพวกเขา ชั้นที่หนึ่งนั้นไม่ได้มีความท้าทายใด ๆ อีกต่อไป ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้ยกระดับพลังของตนเอง
แต่พอบรรดายอดฝีมือค่ายมืดเพิ่งจะไปได้ไม่นาน ดาซีก็เข้ามาท้าปะลอง แต่ชั้นหนึ่งของหอคอยเทว ในชั่วขณะหนึ่งไม่มียอดฝีมือที่สามารถต่อกรกับดาซีได้เลย
“สารเลวไร้ยางอาย!”
คนเก่าคนแก่ของชั้นหนึ่งหอคอยเทวหลายคน ต่างก็พากันจ้องไปที่ค่ายสว่างด้วยความโมโห
ค่ายสว่างและค่ายมืด การวางแผนและความเกลียดชังของทั้งสองค่ายใหญ่ที่มีต่อกัน หลัวซิวกล้าที่จะให้ความสนใจแม้แต่น้อย เพราะว่าโลกเชิ่งถิงนั้น เขาไม่ได้รู้สึกถึงความผูกพันใด ๆ โลกใบนี้สำหรับเขาแล้ว เขาเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาและผ่านไปเท่านั้น
ดาซียืนอยู่บนแท่นประลอง แขนทั้งสองข้างกอดอกไว้ จ้องมองไปทางหลัวซิวด้วยความสนใจ “ช่างไม่คุ้นหน้าเสียเลย ดูแล้วน่าจะเป็นพวกที่เข้ามาใหม่ของตำหนักเทวมืดใช่หรือไม่? พวกหน้าใหม่อย่างเจ้าข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว ติดว่าตัวเองมีพลังเข้าหน่อย ก็มองไม่เห็นคนอื่นในสายตา แต่โดยปกติคนพวกนี้จะตายเร็วกว่าพวก”
“ใช่แล้ว คนแบบเจ้าน่ะมักจะตายเร็ว ข้าล่ะชื่นชมจากใจจริงเลย” หลัวซิวพูดพลางยิ้มบาง ๆ