มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 920
“เฮอ เฮอ อย่าเพิ่งรีบไปเลย”
ผู้เฒ่ายิ้มบาง ๆ “ในเมื่อเจ้าสามารถมาถึงที่แห่งนี้ได้ถือว่ามีลิขิตเกี่ยวพันกับตำหนักจื่อเซียว ข้ารอมาเนิ่นนานไม่จบสิ้นก็เพื่อที่จะได้พบเจ้าเท่านั้น”
“ข้าไม่อาจเข้าใจถึงความหมายของท่าน”
“เจ้าของตำหนักจื่อเซียวตายไปกลางมหาสงครามตั้งแต่สมัยโบราณ ตำหนักจื่อเซียวก็ได้รับความเสียหายด้วย ดังนั้นที่เจ้าเห็นว่าข้ามีแขนเพียงข้างเดียวนั้น ก็เพราะว่าข้าคือจิตภัณฑ์ ตำหนักจื่อเซียวเสียหาย ข้าจึงได้รับความเสียหายตามไปด้วย”
ผู้เฒ่าไม่รีบร้อน และเอ่ยต่อไปช้า ๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตำหนักจื่อเซียวก็คือนักยุทธ์ราชาเทพชิ้นหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์ พลังอำนาจนั้นแข็งแกร่งมากเสียจนไม่สามารถคาดเดาได้”
ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าก็ยกมือขึ้นโบก ปราณม่วงด้านหน้าสลายหายไป ปรากฏเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านบนมีป้ายสลักตัวอักษรเป็นคำว่า ‘ดวงวิญญาณแห่งราชาเทพหงเฟย’
ราชาเทพหงเฟยมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเจ้าของตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ในสมัยก่อน
“เพียงแค่เจ้ายินยอมที่จะเป็นผู้สืบทอดของนายท่าน เจ้าไม่เพียงแต่จะได้รับตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ ยังสามารถได้รับการถ่ายทอดจากราชาเทพผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีข้าเป็นผู้ช่วย เส้นทางการฝึกตนของเจ้าในภายภาคหน้านั้นจะยิ่งราบรื่นยิ่งกว่าสิ่งใด” ผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังโยนเหยื่อล่อ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวเพียงแค่คล้อยตามไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม
มรดกจากราชาเทพย่อมเรียกได้ว่าเป็นทำให้โลกตะลึง แต่สำหรับผู้ที่ครอบครองวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพรวมถึงผังกฎดั้งเดิมอย่างหลัวซิวแล้ว กลับไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น
สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ก็มีเพียงแค่ตำหนักจื่อเซียวเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ได้เห็นพลังอำนาจที่แข็งแกร่งของตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้จากการฉายภาพของปราณม่วงด้วยตาตนเองแล้ว
“ข้าไม่คิดว่าบนโลกใบนี้จะมีสิ่งดี ๆ ที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไร หากข้าได้รับตำหนักจื่อเซียว จำเป็นต้องเสียสละสิ่งใด?” หลัวซิวถามเสียงขรึม
เขาไม่ได้ผ่อนคลายการป้องกันตัวจากภาพลวงผู้เฒ่าคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ในเวลานี้ตนอยู่ภายในตำหนักจื่อเซียว เขาก็ทำได้เพียงคล้อยตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น
“เฮอ เฮอ เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียสละสิ่งใด เพียงแค่จำเป็นต้องรอให้เจ้าถึงวันที่ฝึกตนบรรลุแดนเทพฟ้า เมื่อถึงเวลานั้นก็เดินทางไปยังโลกาโกลาหล นำเอาป้ายวิญญาณมอบให้กับวิชาโกลาหลก็เพียงพอแล้ว”
ผู้เฒ่าพูดเสียงเบาด้วยความใจเย็น ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้น ม้วนหยกม้วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เขานำม้วนหยกยื่นให้กับหลัวซิว “ด้านในม้วนหยกนี้ก็คือวรยุทธ์การฝึกตนของนายท่านเมื่อครั้งยังมีชีวิต ยังเป็นวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกาโกลาหล วิชาโกลาหลปราณม่วง อีกทั้งด้านในยังมีเคล็ดวิชาฝึกตนพลังอมตะอีกด้วย!”
“พลังอมตะ?” สำหรับสิ่งที่เรียกว่าวิชาโกลาหลปราณม่วง หลัวซิวไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แต่สำหรับคำว่าพลังอมตะแล้วนั้นกลับดึงดูดความสนใจของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เขาได้ฝึกตนพลังอมตะสามวิชาแล้ว ได้แก่ผู้เป็นอมตะ วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล และภูตอัคคีร้อยแปร
พลังอมตะทั้งสามวิชานี้ ทุกชนิดต่างก็มีพลังที่แกร่งกล้าจนไม่อาจคาดเดาได้ ทำให้หลัวซิวรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงความแข็งแกร่งของวรยุทย์ระดับพลังอมตะ
แต่ในวินาทีที่หลัวซิวถูกคำว่าพลังอมตะดึงดูดนั้น ใบหน้านิ่งเรียบใจเย็นของผู้เฒ่าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้น ร่างเงานั้นกลายเป็นลำแสงสีม่วง พุ่งตรงเข้ามาที่หว่างคิ้วของหลัวซิว
ในนาทีนั้นเองหลัวซิวก็รับรู้ได้ถึงอันตราย แต่เจ้าลำแสงสีม่วงนั้นรวดเร็วมาก เขาไม่มีทางตอบโต้ได้ทันเลย ทันใดนั้นหว่างคิ้วก็ถูกแยกออก ลำแสงสีม่วงพุ่งตรงเข้าไปที่กลางตัวหยั่งรู้ของเขา
“เจ้าหนู เจ้าพูดถูกแล้ว บนโลกใบนี้ล้วนไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยไม่ต้องตอบแทน ร่างของเจ้าข้าขอรับไว้ด้วยความยินดี!”
พลังแห่งวิญญาณที่แข็งแกร่งระเบิดออกมาจากลำแสงสีม่วง ราวกับว่ากำลังทำลาย ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
“เดิมแล้วเจ้าไม่ใช่จิตภัณฑ์ของตำหนักจื่อเซียว แต่เจ้าเป็นราชาเทพหงเทียน!?” หลัวซิวตกใจหน้าซีด คาดไม่ถึงว่าตนระมัดระวังมากถึงเพียงนี้แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังพบจุดบกพร่องทั้งยังจงใจยึดร่างได้อีกด้วย