หลัวซิวไม่เข้าใจความคิดของเทพสงครามเอกภพ ม้วนหยกที่เขาได้รับมานั้นไม่ได้บ่งบอกสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เทียบกับเทพมารคนอื่น ๆ ที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ เขาไม่ได้มีข้อได้เปรียบใด ๆ
ตัวสำนึกกระจายออกไป หลัวซิวสัมผัสถึงสถานการณ์ของบริเวณโดยรอบ พบว่าที่บนท้องฟ้านั้นมีวิชาห้ามบางอย่างอยู่ เมื่อใดที่เหาะขึ้นไปในอากาศ ก็จะสัมผัสเข้ากับวิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้ พร้อมทั้งยังถูกโจมตีที่น่าหวาดกลัวอีกด้วย
ค่ายกลที่เทพสงครามเอกภพได้สร้างเอาไว้ทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นค่ายเทพ ทรงพลัง เทพมารยากที่จะต้านทาน
หลัวซิวสามารถมองเห็นเงาลาง ๆ ของตำหนักได้จากที่ไกล ๆ จึงได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่แห่งนั้น และสาวเท้าเดินตรงไป
“ไอ้หนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนั้นหรือ?”
ไม่นานนัก หลัวซิวก็บังเอิญเจอเข้ากับคนผู้หนึ่ง ให้พูดอย่างชัดเจนคืออีกฝ่ายไม่ใช่คน แต่เป็นเทพมารอสูรผู้หนึ่งของเผ่าพันธุ์มาร
หลัวซิวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเวลานี้ข้างกายของเขาไม่มีเทวทูตจื่อเยียนคอยคุ้มกัน บังเอิญพบเจอกับเทพมารคนอื่น ๆ ที่ถูกส่งมายังสถานที่ต่าง ๆ แบบสุ่ม เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะไม่สามารถจัดการได้ง่าย ๆ
“ฮ่า ๆ คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าข้าจะได้มาพบกับเจ้าตามลำพังเช่นนี้ ความลับของเทพสงครามเอกภพมีเพียงเข้าคนเดียวที่ล่วงรู้ ข้าเพียงแค่ต้องจับเจ้ามาค้นจิตวิญญาณ ก็จะสามารถรับรู้ได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่มีช่าจื่อเยียนหญิงน่ารำคาญคอยขัดแข้งขัดขา ข้าคิดจะกระทำกับเจ้าอย่างไรก็ทำได้ตามต้องการมิใช่หรือ?”
เทพมารอสูรผู้นี้ผิวปาก ทันใดนั้นที่ด้านหลังของเขาก็พลันปรากฏปีกทองขนาดมหึมา เขนนกสีทองทุกเส้นแหลมคมราวกับกระบี่ เกิดเสียงหวือพุ่งตรงเข้ามาทางหลัวซิว
เมื่ออีกฝ่ายลงมือ หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของผลการฝึกตนที่เคลื่อนไหว คือแดนเทพมารขั้นสอง
“ต่อให้ไม่มีการคุ้มกันของเทวทูตจื่อเยียน เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้” หลัวซิวเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ฝ่ามือพลิกขึ้น หยิบเอาไฟเทวสว่างออกมา
เขาเคยต่อสู่กับจักรพรรดิหงส์ อีกฝ่ายเป็นถึงอนาคินมหาจักรพรรดิยุทธ์ พลังต่อสู้เทียบเท่าเทพมารช่วงต้น เทียบกับเทพมารอสูรผู้นี้ไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก
ในตอนนั้นสามารถสยบจักรพรรดิหงส์เอาไว้ได้ ย่อมไม่ได้เกรงกลัวเทพมารอสูรผู้นี้
ภายใต้การขับเคลื่อนของกฎชีวิต ไฟเทวแผ่กระจายแสงเทว ปกป้องรอบกาย ทำให้ขนนกสีทองทั้งหมดที่กลั่นแปรเป็นปราณกระบี่ถูกกันไว้ด้านนอก
หลังจากนั้น ฝ่ามือของหลัวซิวลูบไล้เบา ๆ ไปบนโป๊ะตะเกียงของไฟเทว เปลวไฟเทวที่บริเวณไส้ตะเกียงสั่นไหว เพลิงทองไฟเทวที่หลอมรวมเป็นเปลวเพลิงร้อนระอุถูกปล่อยออกมา
“ข้าคือเทพมารอสูร พวกเราเผ่าพันธุ์มารร่างกายแข็งแกร่ง ร่างเนื้อไม่ด้อยไปกว่าสมบัติเทพมาร เจ้าอาศัยสมบัติเทพมารชิ้นหนึ่ง จะทำอะไรข้าได้?”
เทพมารอสูรตรงหน้าตะโกนเสียงดัง ฝ่ามือกลายเป็นอุ้งเท้าสีทอง พุ่งเข้าไปจับเปลวเพลิงร้อนระอุที่ปล่อยออกมา
“พุ!”
เห็นเพียงแค่อุ้งเท้าของเทพมารอสูรผู้นี้ออกแรงจับเอาไว้ ก็ทำให้เปลวเพลิงที่ไฟเทวปล่อยออกมานั้นก็พลันดับลงอย่างสมบูรณ์
แดนเทพมารเหมือนกัน แต่เผ่าพันธุ์มารมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้านนี้ เพราะพวกมันมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาแต่กำเนิด ไม่เหมือนกับเทพมารเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากต้องการให้ร่างเนื้อสามารถเทียบเท่ากับสมบัติเทพมาร จำเป็นต้องใช้วรยุทธ์ขั้นสูงอีกทั้งยังต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลเพื่อชุบร่าง
แต่เผ่าพันธุ์มารกลับไม่เหมือนกัน เพียงแค่ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมาร ร่างเนื้อก็จะกลายเป็นร่างยุทธ์เทพมาร ไม่ต้องใช้สมบัตินักยุทธ์ ร่างของตนก็คืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด
“ฮ่า ๆ อยู่ต่อหน้าข้า เจ้าหนูแดนเจ้ายุทธจักรแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้แต่คุณสมบัติที่จะให้ข้าใช้พลังยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ!”
เทพมารอสูรหัวเราะเสียงดัง อุ้งเท้าสีทองไม่ได้ลดการโจมตีลง ราวกับก้อนเมฆสีทอง ปกคลุมเต็มท้องฟ้า ครอบปริภูมิบริเวณรอบตัวของหลัวซิวเอาไว้
“ไฟเทวไม่ได้ผล เช่นนั้นเจ้าก็ลองสมบัติชิ้นใหม่ที่ข้าเพิ่งกลั่นเสียหน่อยเป็นไร?”
หลัวซิวไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัว ทันใดนั้นก็ชี้นิ้วออกไป เหนือศีรษะปรากฏเป็นรูเล็ตวงหนึ่งที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว
รูเล็ตชิ้นนี้แบ่งเป็นสองระดับ ครึ่งดำครึ่งขาว มีร่องรอยกฎจำนวนมหาศาลสลักอยู่ อธิบายถึงสัจธรรมไร้ที่สิ้นสุดของเส้นทางยิ่งใหญ่ กฎการเวียนว่ายตายเกิด