“ข้าไม่ยอม! มีความสามารถก็อย่าได้เอาสมบัติชิ้นนี้มาใช้ ข้ารับรองว่าแค่เพียงอุ้งเท้าเดียวก็สามารถบีบเจ้าให้เละได้!” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองคำราม
“อาศัยความเก่งกาจของสมบัติเอาชนะข้า ทั้งยังจะให้ข้ายอมจำนนต่อเจ้า ไร้สาระ!”
“เจ้าบอกว่าข้าใช้สมบัติมากดเจ้า เจ้าก็ใช้ผลการฝึกตนระดับเทพมารอสูรมากดข้าเช่นกันไม่ใช่หรือ?” หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ “ไม่ว่าจะอาศัยสมบัติก็ดี ผลการฝึกตนก็ช่าง แต่ในโลกนี้ความแข็งแกร่งเป็นที่เคารพเสมอ พลังอันแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเป็นนิรันดร์ ผู้ชนะเท่านั้นที่มีสิทธิ์มีเสียง”
“ก็เหมือนกับตอนนี้ หากข้าต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อข้ารับเอาช่องจิตของเจ้ามา หลังจากกลั่นแปรแล้วสามารถทำให้ผลการฝึกตนของข้าบรรลุแดนได้อย่างรวดเร็ว”
“มีปัญญาก็ฆ่าข้าทิ้งเสีย ต้องการให้ข้ายอมจำนน? ไม่มีทาง!” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองยอมตายไม่ยอมสยบ
เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งเทพมารอสูร ย่อมต้องมีศักดิ์และศรีเป็นของตนเอง
“เจ้าอยากตายนั้นง่ายมาก” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ วันนี้ข้าก็เป็นเพียงแค่ผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักร กลับสามารถกดเทพมารอสูรอย่างเจ้าเอาไว้ได้ ในวันข้างหน้าหากข้าฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ หรือกระทั่งเป็นเทพมารล่ะ?”
“เจ้ามีศักดิ์ศรีในฐานะเทพมารอสูร แม้เจ้าจะตายไปก็ไม่มีทางยอมจำนนต่อข้า แต่หากเจ้าเลือกที่จะยอมรับข้าเป็นนาย วันข้างหน้าเข้าได้กลายเป็นเทพมาร หรือไปถึงแดนที่สูงยิ่งกว่านี้ แน่นอนว่าเจ้าก็จะได้รับประโยชน์อย่างไร้ที่สิ้นสุด” หลัวซิวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ
พลังของเขาในวันนี้มากพอที่จะป้องกันตัวได้ แต่ที่โลกแสงดาวยังคงมีสิ่งที่คอยขัดแข้งขัดขาอยู่อีกมาก ยังขาดผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมาเป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นเขาจึงได้ว่านล้อมเทพมารอสูรผู้นี้เพื่อหมายจะให้มาเป็นผู้ช่วยอีกแรง
อย่างน้อยหากมีเทพมารอสูรผู้นี้อยู่ ต่อไปเมื่อเวลาที่เขาไม่อยู่ ก็ยังสามารถรักษาความปลอดภัยของสำนักไท่เสวียนได้
แน่นอนว่าเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็ไม่ได้อยากตาย เพียงแต่ว่าไม่สามารถปล่อยวางเกียรติและศักดิ์ศรีของเทพมารอสูร แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกว่าที่หลัวซิวพูดมาก็มีเหตุผล อดไม่ได้ที่จะโอนอ่อนตามไปเล็กน้อย
“จริงด้วย เจ้าหนุ่มเจ้ายุทธจักรผลการฝึกตนสามารถเทียบเท่าเทพมาร อีกทั้งว่ากันว่าเขาฝึกตนเพียงระยะเวลาแค่สามสิบปีเท่านั้นก็สามารถมีพลังระดับนี้ได้ พรสวรรค์เช่นนี้หากอยู่ที่พิภพสูงก็นับว่าเป็นอัจฉริยะแนวหน้าแล้ว”
ลูกตาของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองขยับไปมา แอบคิดว่า “หากเขาฝึกตนเป็นเทพมาร ก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งะดับแนวหน้าท่ามกลางเทพมาร แม้กระทั่งว่าเจ้าหญิงน่ารำคาญอย่างช่าจื่อเยียนก็ยังไม่สามารถสู้ได้ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสได้สำเร็จเป็นเทพฟ้า!”
ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าที่พิภพกลางเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุด เมื่อคิดว่าในวันข้างหน้าตนก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีเทพฟ้าคอยเป็นกองหนุนให้ ในใจของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็พลันสั่นไหวมากขึ้นกว่าเดิม
เขาก็รู้ดีกว่า มีความศักยภาพที่จะกลายเป็นเทพฟ้า ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะได้เป็นเทพฟ้าอย่างแน่นอน มีอัจฉริยะผู้เปล่งประกายมากมายที่ต้องตายไประหว่างเส้นทางของการเติบโต
แต่หากเลือกที่จะปฏิเสธ เทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือของหลัวซิว ไม่มีทางไว้ชีวิตตนเป็นแน่
“ได้ ข้ายินยอมที่จะรับเจ้าเป็นนาย!”
หลังจากดื้อดึงดิ้นรนอยู่ภายในใจได้ไม่นาน ศีรษะเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็น้อมลงมา เลือกที่จะมีชีวิตต่อไป
มุมปากของหลัวซิวเผยรอบยิ้มบาง ๆ ออกมา พร้อมกับหยักหน้า “เจ้าจะโชคดีกับการเลือกของเจ้าในวันนี้”
“อันเชิญช่องจิตของเจ้าออกมา ให้ข้าได้ปลูกวิชาห้าม” หลัวซิวเอ่ย
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองไม่ได้ต่อต้าน ช่องจิตบินออกจากภายในร่างกายของเขา เปล่งประกายดั่งดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่ง
เขาเป็นเหยี่ยวทองที่ฝึกตนสำเร็จ ฝึกตนในกฎธาตุทองหนึ่งในเบญจธาตุ
หลัวซิวมีวิชาคุมมารชนิดหนึ่ง เป็นมรดกที่เจ้ามรณะถ่ายทอดไว้ให้ แต่ตัวเจ้ามรณะเองเดิมก็เป็นเพียงแค่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เพราะฉะนั้นสามวิชาใหญ่อย่างสยบมาร คุมมาร และกลั่นมารที่เขาคิดค้นขึ้นนั้น ก็สามารถตั้งเป้าหมายได้เพียงแค่กับเผ่าพันธุ์มารตั้งแต่ระดับเทพมารอสูรลงไปเท่านั้น