ตำหนักวัฏสงสาร คือตำหนักเจ้าสำนักที่สร้างขึ้นในตอนแรกที่หลัวซิวก่อตั้งสำนักเขาไท่เสวียน
แต่วันนี้ศิษย์ไท่เสวียนเข้าร่วม ช่วงเวลานี้เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต่างก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในตำหนักวัฏสงสาร
ในวันนี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์มาหาเหยียนซีโรว่ นัยน์ตาใสนั้นเผยให้เห็นถึงความกังวลใจ
“น้องหญิงซีโรว่ หลัวซิวแยกออกไปเกือบจะห้าปีแล้ว”
เหยียนซีโรว่กำลังตระหนักรู้วรยุทธ์ที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกม้วนหนึ่ง เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็เงยหน้าขึ้นมา พูดพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพี่หญิงเยว่เอ๋อร์อย่าได้กังวลใจ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางข้าได้ทำนายเอาไว้แล้ว ครั้งนี้มีเพียงโชคดีไร้ซึ่งอันตราย”
“เจ้าสำแดงวิชาแห่งชะตาอีกแล้วหรือ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเรียวงาม “หลัวซิวไม่ได้พูดกับแล้วแล้วหรือว่า ต่อไปไม่ให้เจ้าสำแดงวิชาอาถรรพณ์ประเภทนี้อีก?”
จุดจบของธิดาเทพหยุนไห่ทุกรุ่นต่างมีให้เห็นกันเต็มสองตา ตามที่นางได้รู้มานั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำนายด้วย อีกทั้งตลอดชีวิตของนางยังสามารถทำนายได้เพียงเก้าครั้ง และในทุกครั้งที่ทำนายต่างก็ต้องเสียสละอายุขัยของตนเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน
การสอดแนมความลึกลับของเวลาอนาคตและวัฏจักรนั้น ถือเป็นสิ่งต้องห้ามของกฎธรรมฟ้าดิน!
ในขณะที่เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น เกาเหลียนหงก็พุ่งเข้ามาภายในตำหนักวัฏสงสารอยู่กะทันหัน พร้อมเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ท่านหญิงทั้งสอง เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว อาจจะเกิดเรื่องกับเจ้าสำนักแล้ว!”
“หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต่อให้เหยียนซีโรว่จะมั่นใจในผลการทำนายของตนมากเพียงใด แต่เมื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหลัวซิว นางก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา
“เมื่อครู่มีท่านผู้อาวุโสหนึ่งเรียกตนเองว่าเจ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น บอกว่าท่านเจ้าสำนักหายตัวไประหว่างเดินสำรวจแดนปริศนาแห่งหนึ่ง”
“หายตัวไป?” สีหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดขึ้นมาทันที ร่างบางซวนเซไปมาจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
“ว่าตามที่เจ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เอ่ยไว้ ครั้งนี้เจ้าสำนักเข้าไปร่วมสำรวจแดนปริศนาแห่งนั้นกับเทพมารทั้งหลาย ในวันนี้เทพมารหลายท่านต่างกลับมากันแล้ว ได้ยินมาว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส” เกาเหลียนหงก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เทพมารเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงเพียงใด? แม้แต่ผู้แข็งแกร่ระดับเทพมารก็ยังบาดเจ็บล้มตาย ที่พูดว่าเจ้าสำนักไท่เสวียนหายตัวไป โดยทั่วไปมันจะถือได้ว่าเป็นการประกาศการตายของเขาแล้ว
……
ที่ทางเข้าประตูตำหนักตำหนักเหลืองทองแห่งนั้น ในความเป็นจริงหลัวซิวกลับไม่ได้รออยู่นานเท่าใดนัก
เขาได้ใช้ความสำเร็จด้านค่ายกลของตน ลดทอนพลังของวิชาห้ามค่ายกลที่คุมขังช่าจื่อเยียนเอาไว้ วิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้ไร้ผู้ควบคุม พลังอำนาจนั้นเคลื่อนไหวด้วยตัวมันเอง ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่พลังที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่เมื่อมีตัวแปรอย่างหลัวซิวเข้ามาข้องเกี่ยวจึงได้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง สำหรับเทวมังกรเขาทองและเทพปีศาจสยบนภาทั้งสองคนนี้ หลัวซิวไม่ได้มีความปราณีแม้สักเสี้ยวเล็บ ในตอนนั้นก่อนที่ทั้งสองคนนี้จะขึ้นมาที่ยอดเขาพร้อมกับช่าจื่อเยียน ได้ออกคำสั่งให้เทพมารใต้บัญชาทุกคนไล่ฆ่าเขา
หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์เคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนของค่ายกลแล้ว หลัวซิวก็สลักลายค่าย ทำให้วิชาห้ามค่ายกลที่คุมขังทั้งสองอยู่นั้นได้ระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์
เมื่อเป็นเช่นนั้น เทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองก็จะไม่สามารถยืนหยัดได้เกิดครึ่งปี จากนั้นก็จะตายลงภายในค่ายกลแห่งนี้
เพียงแค่หลัวซิวคิดอยากฝ่าค่ายเทพระดับสี่ทั้งสองเข้าไปภายในตำหนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ครั้งนี้ เขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ทั้งยังต้องแลกกับการบาดเจ็บไม่น้อย จึงจะสามารถฝ่าด่านวิชาห้ามค่ายเทพ เข้ามาถึงภายในตำหนักแห่งนี้ได้
ทั่วทั้งภายในตำหนักอบอวลไปด้วยแสงทองส่องประกายระยิบระยับ ที่บริเวณใจกลางตำหนักใหญ่ มีรูปปั้นแกะสลักรูปคนที่สูงตระหง่านตั้งอยู่ บนตัวสวมเกราะเทพ ในมือถือหอกเทวะ ยืนเหยียบอยู่บนเทวมังกร เคร่งขรึมน่าเกรงขาม ราวกับกำลังต่อกรกับฟ้าดินบริเวณด้านล่างของรูปปั้นสูงตระหง่านนี้ หลัวซิวรี่ตามองไปด้วยความสงสัย พบว่ามีโครงกระดูกโบราณนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ