การประลองครั้งสุดท้ายของรอบสุดท้ายจบลงในกระบวนท่านี้
กระบวนการค่อนข้างไร้สาระ แต่การประลองนั้นสะเทือนใจคนอย่างไม่ต้องสงสัย เซี่ยวชางเทียนพ่ายแพ้ แต่ไม่มีใครกล้าบอกว่าเขาแพ้อย่างราบคาบ
บางทีนี่ก็คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
และตอนนี้ ทุกสายตาที่มองมาทางหลินสวินล้วนแฝงความซับซ้อนและตะลึง
การต่อสู้ทั้งหมดในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์สิ้นสุดลง เด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างคนนี้ฝ่าฟันออกมาท่ามกลางเหล่าสำนักโบราณ กลายเป็นผู้ชนะด้วยผลงานไร้พ่ายอย่างไร้ข้อกังขา!
อันดับหนึ่ง!
ถึงขั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นขอบเขตมกุฎอันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่าสามสิบปีของสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ!
นี่เป็นเกียรติยศไร้เทียมทานที่สามารถทำให้คนทั่วหล้าเหลียวมองได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เทพมารหลิน!
ไม่ว่าชื่อนี้เคยชักนำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์และความขัดแย้งมากเท่าไหร่ แต่นับจากนี้จะต้องโด่งดังไปทั่วสี่แดนวิภู เป็นที่รู้จักของคนทั่วใต้หล้าอย่างแน่นอน
“ชนะแล้ว!”
จ้าวจิ่งเซวียนกำหมัดแน่นเงียบๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นในใจ
ใบหน้างดงามของนางขาวผ่อง มุมปากแฝงรอยยิ้ม ท่าทางที่ชัดเจนบริสุทธิ์และสดใสนั่นดูงดงามมากเป็นพิเศษ
“ยังดีๆ นับถือหมอนี่เป็นพี่ใหญ่ไม่ถือว่าขายหน้า มิฉะนั้นหากเฒ่าสารเลวนั่นรู้เข้าจะต้องใช้ปากเหม็นๆ ของเขาด่าข้าจนตายแน่”
อาหลู่ท่าทางโล่งอก
‘คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นที่หนึ่ง เพียงแต่เขาผูกความแค้นกับศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ได้อย่างไร’ จินมู่อวิ๋นอึ้ง
แม้ถูกหลินสวินเอาชนะ แต่ความจริงในส่วนลึกของหัวใจเขาก็นับถือหลินสวินมาก
ไร้ที่พึ่งพิง มาจากโลกชั้นล่าง กลับสามารถก่อคลื่นลมทั่วหล้า อีกทั้งตอนนี้ยังคว้าชัยชนะอันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ด้วยสถิติไร้พ่าย นี่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์หนึ่ง
เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้สืบทอดสำนักโบราณคนอื่นๆ ต่างต้องทบทวนตัวเอง!
ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับเทพมารหลิน พวกเขาทุกคนล้วนไม่ขาดพรสวรรค์ แก่นกระดูกและมรดกวิชา มีข้อได้เปรียบที่เรียกได้ว่าสวรรค์ประทาน
แต่สุดท้าย… กลับพ่ายแพ้ให้กับเทพมารหลินทั้งหมด นี่เพียงพอจะทำให้ผู้กล้าที่เป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณทุกคนอับอายแล้ว
‘ช่างเถอะ อย่างไรตามสัญญา ต่อไปที่ใดมีหลินสวิน ข้าก็จะไม่ปรากฏตัวแน่’ จินมู่อวิ๋นส่ายหน้า หยุดคิดมาก
‘ให้ตาย การต่อสู้อาจสู้ไม่ได้ การดื่มเหล้าต้องล้มเขาให้ได้ อื้ม ถึงเวลาเอาเหล้าชั้นดีที่ตาเฒ่าสะสมไว้ออกมาแล้ว…’ เยี่ยเฉินลูบคางครุ่นคิด
ส่วนพวกอวี่หลิงคงสีหน้าต่างอึมครึม ในใจเต็มไปด้วยความไม่จำยอมและหดหู่อย่างรุนแรง
การที่หลินสวินขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด ส่งผลกระทบต่อพวกเขารุนแรงเกินไปแล้ว
‘เด็กคนนี้ ต้องกำจัด!’
เหล่าขุมอำนาจที่มองหลินสวินเป็นศัตรู แต่ละฝ่ายลอบตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ความสามารถของหลินสวินทำให้พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่แฝงอยู่แล้ว
รู้ดีว่าหากหลินสวินลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริง จะต้องกลายเป็นมหัตภัย!
“เชื่อว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คนบนโลกจะต้องตกตะลึงกับชื่อเทพมารหลินอีกครั้ง!”
“ผู้กล้าปรากฏในกลียุค มหายุคก็เช่นกัน หรือมหายุคจะมาเยือนแล้วจริงๆ…”
ผู้แข็งแกร่งสำนักอื่นๆ ต่างอดทอดถอนใจไม่ได้
……
การต่อสู้สิ้นสุดลง
อันดับหนึ่งหลินสวิน อันดับสองเซี่ยวชางเทียน อันดับสามเยี่ยเฉิน อันดับสี่จินมู่อวิ๋น
ส่วนการจัดอันดับของคนที่เหลือก็ถูกตัดสินออกมานานแล้ว
ตอนนี้ข้ารับใช้วิญญาณยืนอยู่กลางอากาศเหนือสนามประลอง ร่างกายอาบแสงศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าเคร่งขรึม ส่งเสียงกึกก้อง
“พวกเจ้าสามสิบห้าคน ภายภาคหน้ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่นำยุคหนึ่ง แต่พวกเขาต้องจำไว้ว่า ยามเมื่อมหายุคมาเยือน ย่อมมาพร้อมกับกลียุค!”
“ทุกคนล้วนเป็นผู้ปรีชาสามารถที่ถือกำเนิดในดินแดนรกร้างโบราณ หากวันหนึ่งผู้คนนับร้อยล้านในดินแดนรกร้างโบราณต้องการให้พวกเจ้าออกหน้า…”
พูดถึงตรงนี้เสียงของข้ารับใช้วิญญาณพลันชะงัก ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์จบลงแล้ว เดิมควรเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ยามได้ยินข้ารับใช้วิญญาณพูดเช่นนี้ ในใจทุกคนต่างเกิดความรู้สึกหนักอึ้ง
มหายุค! กลียุค!
หรือข้ารับใช้วิญญาณมองเห็นว่าจะมีสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นในอนาคต
“ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้เกี่ยวโยงไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่นับไม่ถ้วน ไม่มีใครสามารถบอกได้ ตอนนี้จะมอบรางวัลตามลำดับให้พวกเจ้า”
ข้ารับใช้วิญญาณไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
ทันใดนั้นบนแท่นมรรคสามสิบห้าแท่นบนยอดเขา ศิลามังกรขดแต่ละป้ายเปล่งแสง จากนั้นโชควาสนามหามรรคที่รูปร่างราวกับมังกรเป็นสายๆ ก็อาบไล้เงาร่างของยอดมกุฎรุ่นเยาว์ทั้งสามสิบห้าคน
สำหรับแท่นมรรคบนยอดเขาหนึ่งในนั้นที่ไม่มีความเคลื่อนไหว เดิมเป็นของโก่วเหยียนเจิน แต่เพราะเขาทำผิดกฎจึงถูกคัดออกไปนานแล้ว
นี่ก็คือค่าตอบแทนที่ระเบิดตัวเอง
ทว่าตอนนี้ไม่มีใครเป็นห่วงเรื่องพวกนี้
สายตาที่มองไปยังกลุ่มยอดมกุฎรุ่นเยาว์บนยอดเขา ล้วนแฝงความอิจฉาอย่างไม่สามารถข่มกลั้นได้
โชควาสนามหามรรค!
นี่คือสิ่งสำคัญของการกลายเป็นราชัน!
หากต้องการบรรลุสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชันก่อนมหายุคมาเยือน จำนวนมากน้อยของโชควาสนาจะส่งผลอย่างยิ่งใหญ่ต่อเรื่องนี้
ทุกคนล้วนมีความรู้สึกหนึ่ง ว่าแม้มหายุคยังไม่ได้มาเยือนอย่างแท้จริง แต่ผู้กล้าทั่วหล้าก็ได้เริ่มแข่งขันกันแล้ว!
อย่างเช่นการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ในครั้งนี้ คนที่ได้รับโชควาสนามหามรรคล้วนเป็นบุคคลแห่งยุคที่ได้รับชัยชนะท่ามกลางผู้กล้าจำนวนมาก ผ่านการต่อสู้มากมาย สุดท้ายจึงโดดเด่นออกมา
สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในหนทางที่จะการกลายเป็นราชันในภายภาคหน้า ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ทั้งสามสิบห้าคนนี้จะต้องได้เปรียบกว่าผู้กล้าคนอื่นๆ แน่!
……
หลินสวินสงบใจหยั่งรู้
โชควาสนามหามรรค เดิมเป็นพลังที่คลุมเครืออย่างมากกลางฟ้าดิน แต่กลับร่วงหล่นลงมาในตอนนี้ อาบไล้ตัวเขาทั้งตัว
ความรู้สึกเช่นนี้ยากจะอธิบายอย่างละเอียด
ราวกับว่าหลังจากครอบครองพลังโชควาสนาเหล่านี้ ทำให้จิตมรรคของเขายิ่งบริสุทธิ์ การสัมผัสมหามรรคและการหยั่งรู้ต่อฟ้าดินก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อก่อน
แต่เมื่อทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน กลับไม่สามารถรับรู้ได้อย่างละเอียด
พูดไม่ถูก อธิบายไม่กระจ่าง แต่กลับมีอยู่อย่างแท้จริง ดูมหัศจรรย์อย่างมาก
บางทีอาจเป็นอย่างที่อริยะบรรพกาลกล่าวไว้ โชควาสนาเป็นเหมือนกฎกรรม เหมือนชะตากรรม เหมือนหลักการแห่งสวรรค์ ล้วนอัศจรรย์ยากจะอธิบายเป็นคำพูด
ทว่าแม้ไม่สามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริง แต่หลินสวินกลับมั่นใจมาก ว่าโชควาสนามหามรรคที่ตนได้รับมากกว่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ในที่นี้มาก!
เทียบกับอันดับสองอย่างเซี่ยวชางเทียน ก็ยังมากกว่าอยู่มาก
ด้านหนึ่งเพราะเขาได้รับอันดับหนึ่ง รางวัลมากและหลากหลายที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาแสดงออกมาในการประลองก่อนหน้านี้ด้วย
เช่นหลังจากโก่วเหยียนเจินถูกคัดออก โชควาสนามหามรรคที่เป็นของเขาในตอนแรก ก็กลายเป็นการชดเชยและมอบให้หลินสวินทั้งหมด
……
ไม่นาน พวกหลินสวินก็หลอมรวมโชควาสนามหามรรคอย่างสิ้นเชิงแล้ว และลุกขึ้นจากแท่นมรรค
“เด็กคนนี้อยู่ก่อน คนอื่นไปได้” ข้ารับใช้วิญญาณยื่นมือชี้หลินสวินพลางพูด
หลินสวินไม่ได้แปลกใจ เพราะรางวัลของการได้รับอันดับหนึ่งไม่ได้มีเพียงเท่านี้!
นอกจากโชควาสนามหามรรค ยังสามารถเข้าสู่แดนลับไร้มรณะ ได้รับเวลาฝึกหนึ่งปี และการฝึกในนั้นหนึ่งปี ก็เท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอก!
ทันใดนั้นหลายสายตาที่มองหลินสวินล้วนแฝงความอิจฉา
มีวาสนาการฝึกปราณระดับนี้ก่อนที่มหายุคจะมาเยือน สำหรับผู้กล้าขอบเขตมกุฎทุกคน ล้วนเป็นศุภโชคชิ้นโตที่หาได้ยากอย่างมาก!
“หลินสวิน จบการแข่งขันครั้งนี้ข้าจะกลับแดนดาราอุดรรอบหนึ่ง หลังจากเอาเหล้าชั้นดีที่บรรพบุรุษบ้านข้าเก็บสะสมมาแล้ว ค่อยมาดื่มกับเจ้า”
เยี่ยเฉินยิ้มพูด “แน่นอนว่า หากเจ้ามีเวลาก็สามารถไปหาข้าที่เขาจื่อเวยในแดนดาราอุดรได้ ในแดนดาราอุดร รับรองว่าไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าเหมือนตอนอยู่ในแดนชัยบูรพา!”
ครั้นคำพูดนี้ออกมา ทำให้สีหน้าของผู้แข็งแกร่งจากสำนักต่างๆ อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักกระบี่เทียมฟ้าต่างอึมครึมอึดอัดอยู่บ้าง
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการตีวัวกระทบคราด!
“ได้!” หลินสวินตอบรับพร้อมรอยยิ้ม
“หลินสวิน เจอกันคราวหน้าข้าหวังว่าจะได้สู้กับเจ้าให้สะใจ ไม่เหมือนวันนี้ที่ประลองกันเพียงกระบวนท่าเดียว”
เซี่ยวชางเทียนเองก็พูดขึ้น ยิ้มอย่างสดใสยิ่งกว่าเยี่ยเฉิน
“นี่คือข้อเสนอของเจ้า เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงคืนคำเสียแล้วล่ะ” หลินสวินพูด
“อ้อ เพื่อเอาไปข่มเจ้าเยี่ยเฉินนี่อย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังไม่มั่นใจว่าจะสู้เจ้าได้จริงๆ เลยทำได้แค่วางแผน” เซี่ยวชางเทียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
สีหน้าของเยี่ยเฉินอึมครึมลงทันที ท่าทางเหมือนจะไปสู้กับเซี่ยวชางเทียนให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนี้
“พี่ใหญ่ พาข้าไปฝึกปราณที่แดนลับไร้มรณะด้วยได้หรือไม่” อาหลู่ตะโกนอยู่ตรงนั้น
ทุกคนเกือบจะกลอกตาใส่ เจ้าคนเถื่อนนี่ฝันไว้สวยหรูจริงๆ หากทำเช่นนั้นได้จริงทุกคนคงไม่ต้องแย่งที่หนึ่งกันแล้ว
“ไม่ได้” คนตอบคือข้ารับใช้วิญญาณ
อาหลู่หมดคำพูดทันที ต่อให้เขาปากเปราะแค่ไหนก็ไม่กล้าโจมตีข้ารับใช้วิญญาณหรอก
“ข้า…”
จ้าวจิ่งเซวียนเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง หลินสวินกลับแย่งสื่อจิตพร้อมรอยยิ้ม ‘ยังจำตอนที่พวกเราออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่’
จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า นางจะจำไม่ได้ได้อย่างไร ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะวานรเฒ่าชุดเขียวผู้นั้นออกมือ หลินสวินกับเจ้าคางคกไม่รอดแน่
‘ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้ากลับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไปก่อน รอมีโอกาสข้าค่อยไปหาเจ้า’ หลินสวินพูดอย่างจริงจัง
‘แต่ครั้งนี้วานรเฒ่านั่นอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ’ จ้าวจิ่งเซวียนขมวดคิ้ว
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพอออกจากเขตหวงห้ามไร้มรณะนี่ เหล่าผู้แข็งแกร่งในสำนักที่มองหลินสวินเป็นศัตรู จะต้องปิดล้อมและสังหารหลินสวินอย่างแน่นอน!
“ให้ข้าไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่เยี่ยน ให้เจ้าไปกับพวกเราดีหรือไม่” จ้าวจิ่งเซวียนพูด
หลินสวินปฏิเสธโดยไม่ลังเล
เยี่ยนจั่นชิวหรือ
พูดเป็นเล่น ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่ในแคว้นหมึกขาวได้ก่อเรื่องใหญ่โตไปแล้ว ทำให้ทั้งบนล่างของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเดือดดาล อยากจะกำจัดตนจนแทบรอไม่ไหว หากไปกับพวกเขา นั่นต่างหากที่เรียกว่าการโยนตัวเองเข้าไปในแห
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็ตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม อดรู้สึกผิดไม่ได้ เอ่ยว่า ‘ข้าไม่ได้มีความหมายอื่น เจ้าอย่าคิดมาก’
หลินสวินยิ้มพูด ‘ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นสหายเก่ากันนี่นา’
จ้าวจิ่งเซวียนอึ้งไป พลั้งปากพูดออกมาว่า ‘แค่เพื่อนเก่าเท่านั้นหรือ’
ทันทีที่คำพูดออกจากปาก นางพลันเสียอาการ ใบหน้าขาวผ่องเผยความเขินอาย ดวงตาคู่ใสหลบหลีก ไม่กล้าสบตาหลินสวิน ท่าทางอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้
หลินสวินอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นพอเห็นเช่นนี้ก็อดรู้สึกสนุกไม่ได้ จึงแกล้งพูดอย่างแปลกใจว่า “ไม่ใช่สหายเก่าแล้วเป็นอะไร เจ้าต้องพูดกับข้าให้ชัด ข้ามันโง่ เดาใจผู้หญิงไม่ออกหรอก”
จ้าวจิ่งเซวียนทำเสียงชิ ใบหน้าสวยร้อนระอุขึ้นมา ความเขินอายย้อมแก้มทั้งสองข้างจนแดงราวกับเปลวเพลิง ทำให้ใบหน้างามของนางมีความเย้ายวนเพิ่มเข้ามา งดงามอย่างยิ่ง มีเอกลักษณ์ไปอีกแบบ
หลินสวินอดอึ้งไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นท่าทางเขินอายแบบนี้ของจ้าวจิ่งเซวียน แตกต่างจากบุคลิกผ่าเผยเด็ดเดี่ยวและสบายๆ ก่อนหน้านี้ของนางอย่างสิ้นเชิง
‘มองพอหรือยัง’
จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้วขึ้น ส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้หลินสวิน
“ยัง”
หลินสวินตอบ
ดวงหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนร้อนผ่าวกว่าเดิม ฟันขาวเป็นประกายขบกัดเบาๆ มือขาวผ่องคล้ายว่าเพราะความตื่นเต้นจึงกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ดูทำอะไรไม่ถูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
——