Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1101 กฎเกณฑ์แห่งระดับอริยะ

ตอนที่ 1101 กฎเกณฑ์แห่งระดับอริยะ

กล่าวง่ายๆ คือ อริยะเทียมประเภทแรกถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยามก้าวขึ้นเป็นราชันแล้ว

นี่คือความแตกต่างระหว่างเมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตนกับการยืมใช้เมล็ดพันธุ์มรรค

เมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตน รวมบรวมวิถีมรรคของผู้ฝึกปราณ คุณภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งสามารถก้าวเดินบนมรรคาอมตะได้ไกลขึ้น แกร่งขึ้น และสูงขึ้น!

เมล็ดพันธุ์มรรคที่หยิบยืมใช้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของพลังภายนอก เป็นการผสานรวมระหว่างมรรควิถีของตนและเมล็ดพันธุ์มรรคที่ไม่ใช่ของตน

ในการฝึกปราณ พลังที่ไม่ใช่ของตนเอง สุดท้ายก็เป็นพลังภายนอก เมล็ดพันธุ์มรรคที่ยืมใช้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

ส่วนอริยะเทียมประเภทที่สองนั้นมีความเฉพาะเจาะจง

จากที่หญิงลึกลับกล่าวมา ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างระดับอริยะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวเดินบนมรรคาตายตัวตั้งแต่สมัยโบราณ ล้วนเรียกว่าเป็นอริยะเทียมทั้งสิ้น!

อริยะประเภทนี้สามารถหยั่งถึงกฎระเบียบอริยมรรค และสามารถแสวงหามรรคแห่งอริยเทพได้เช่นกัน แต่เพราะเส้นทางที่ก้าวเดินเป็นมรรคาที่มีคนเคยเดินมาแล้วในอดีต ความสำเร็จของเขาล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว

แต่หญิงลึกลับเองก็บอกว่า ในสายตาของผู้ฝึกปราณทั่วหล้า อริยะเทียมประเภทที่สองก็ถือว่าเป็นอริยะแท้จริง ควบคุมพลังที่แตกต่างจากอริยะเทียมประเภทแรกอย่างสิ้นเชิง สามารถหยั่งถึงกฎระเบียบอริยมรรค อานุภาพวิเศษไพศาล

นี่ก็คือข้อแตกต่างของการมุมมอง

ในสายตาของคนระดับหญิงลึกลับ อริยะเทียมประเภทแรกกับประเภทที่สองแม้จะมีจุดต่าง แต่ท้ายที่สุดก็ยังเอาอย่างคนรุ่นก่อน เดินบนเส้นทางเก่าของคนรุ่นก่อน ความสำเร็จย่อมมีขีดจำกัดอย่างแน่นอน

แต่ในสายตาของคนอื่น กลับไม่ได้คิดเช่นนี้

“อริยะที่ไร้อริยะคืออริยะแท้ มรรคที่ไร้มรรคคือมหามรรค…” จู่ๆ หลินสวินก็พึมพำ นึกถึงประสบการณ์แปลกประหลาดที่เคยประสบมา

ปีนั้นในป่าต้นหม่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นหนึ่ง บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีจักจั่นทองตัวหนึ่งกับจักจั่นขาวอีกตัวอาศัยอยู่

ล้วนเป็นพวกน่าสะพรึงที่เหยียบย่างระดับอริยะแล้วทั้งสิ้น

ภายใต้วาสนาที่ชักพาให้พบเจอ หลินสวินเคย ‘พูดคุย’ แบบแปลกๆ กับจักจั่นทอง ตอนนั้นจักจั่นทองก็เคยพูดประโยคนี้!

“เห ประโยคนี้ใครเป็นคนบอกเจ้า”

หญิงลึกลับอึ้งไป ดูคล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง

หลินสวินเองก็ไม่ปิดบัง เล่าประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับจักจั่นทองในปีนั้นให้ฟัง

“จักจั่นทอง…” หญิงลึกลับคล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ จมอยู่ในภวังค์อย่างเงียบงัน

“นี่คือเจ้าบ้าที่ดันทุรังจนทำให้ผู้คนเลื่อมใส คราแรกเคยตั้งปณิธานอริยะ ว่าต้องการให้สรรพชีวิตทั่วหล้าล้วนกลายเป็นอริยะในสักวันหนึ่ง!”

หญิงลึกลับคล้ายทอดถอนใจอยู่บ้าง น้ำเสียงเย็นชาคล้ายแฝงความหวนระลึกถึงอยู่เสี้ยวหนึ่ง “ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าบ้านี่กลับเอาแต่แสวงหามรรคเช่นนี้… ช่างเถิด ไม่พูดแล้ว”

นางส่ายหน้า ราวกับไม่อยากจมจ่อมกับความทรงจำ เสมือนว่าความทรงจำเป็นสิ่งที่ทนเหลียวหลังมองกลับไปไม่ได้

เดิมทีหลินสวินยังอยากถามไถ่ที่มาของจักจั่นทองตัวนั้นสักหน่อย แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ชะงักทันที ด้วยรู้ว่าต่อให้ตนถามไปก็เกรงว่าจะไม่ได้รับคำตอบ

“แต่ว่า คำพูดของเขานั้นไม่ผิด อริยะที่ไร้อริยะคืออริยะแท้ มรรคที่ไร้มรรคคือมหามรรค อริยะที่แท้จริงก็ต้องบุกเบิกมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยตนเอง!”

หญิงลึกลับกล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนใจกล่าว “ข้อเรียกร้องนี้เข้มงวดมากเกินไป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พวกที่เหยียบย่างระดับอริยะ แปดเก้าในสิบส่วนล้วนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกเบิกเส้นทางแห่งอริยเทพของตนเอง”

“ในบรรดาอริยะทั่วหล้ามากมายที่ข้ารู้จัก ส่วนใหญ่ก็คับแค้นกับจุดนี้ ไม่สามารถข้ามผ่านก้าวนี้ได้ ไม่ใช่อะไรอื่น มันยากเกินไป!”

“ผู้อาวุโสเคยเหยียบย่างมรรคานี้หรือไม่” หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้

หญิงลึกลับอึ้งงัน ครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “ถือว่าเคยกระมัง รอหลังจากตอนที่เจ้าเหยียบย่างระดับอริยะ ย่อมจะเข้าใจเอง”

ต่อมานางก็อธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับขอบเขตระดับอริยะ

เหนืออริยะ คือมหาอริยะ มีนัยว่า ‘ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต’

เหนือมหาอริยะ คือราชันอริยะ เป็นราชันอริยมรรค ทั้งถูกมองเป็นราชันแห่งเหล่าอริยะ

ส่วนเหนือราชันอริยะยังมีระดับที่สูงกว่าหรือไม่ หญิงลึกลับไม่ได้บอก หลินสวินเองก็ไม่ได้ถาม

แต่ไม่ว่าจะเป็นอริยะแท้หรืออริยะเทียม ไม่ว่าจะเป็นความสูงต่ำของระดับอริยะ ระยะห่างสำหรับหลินสวินในตอนนี้ก็ยังห่างไกลอยู่ไม่น้อย

ถึงอย่างไรแม้แต่ระดับราชันเขาก็ยังไม่เคยเหยียบย่าง ใฝ่สูงเกินตัวเป็นกฎเหล็กข้อห้ามของการฝึกปราณ

เพล้ง!

ทันใดนั้นเสียงใสกังวานราวกับกระจกแก้วแตกเป็นเสี่ยงก็ดังขึ้นเหนือเวิ้งฟ้า

หญิงลึกลับแหงนหน้าขวับ สีหน้าเยียบเย็นน่าสะพรึง

ก็เห็นเหนือเวิ้งฟ้ากว้างขวางนั้นไม่รู้ปรากฏรอยแยกมายาน่าสยดสยองสายหนึ่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับม่านฟ้าแหวกออกเป็นช่อง

มองเห็นได้รางๆ ว่ามีเงาทวนที่เปี่ยมอานุภาพสูงสุดสายหนึ่ง เทียบผลุบเทียวโผล่อยู่ในรอยแยกมายาที่แหวกกว้างนั่น

หลินสวินขนลุกซู่ไปทั้งร่าง สัมผัสถึงกลิ่นอายอันตรายและกดข่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พาให้เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว จิตวิญญาณ จิตมรรค รวมถึงมรรควิถีแห่งตนล้วนปรากฏสัญญาณจะล่มสลาย!

ครืน!

หญิงลึกลับโบกมือเรียว รุ้งเทพสายหนึ่งแผ่ครอบหลินสวินเอาไว้ ย้ายเขามาอยู่ไกลลิบตา ส่วนนางกลับยืนอยู่ภายใต้นภาครามที่แหวกกว้างนั้น สีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่กลิ่นอายทั่วร่างกลับยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ไกลออกไป แกะทั้งฝูงตัวสั่นเทิ้ม แต่ละตัวนอนหมอบอยู่ตรงนั้นคล้ายกับโคลนเหลว ในสายตาแต้มแววสะพรึงสุดฤทธิ์ คล้ายคาดไม่ถึงเด็ดขาดว่าจะเกิดเรื่องน่าสะพรึงเช่นนี้อย่างปุบปับ

ชิ้ง!

เงาทวนส่งเสียง พื้นที่แถบนี้สนั่นหวั่นไหว กลางฟ้าดินจู่ๆ ก็ท่วมท้นด้วยกลิ่นอายสังหารทำลายล้างอย่างยากจะบรรยาย

ฟ้าพลิกดินคว่ำ จักรวาลผันเปลี่ยน ฟ้าดินแถบนี้ประหนึ่งเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์!

“มาก่อนกำหนดเลยเชียว…” หญิงลึกลับพึมพำกับตัวเอง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้หลบเลี่ยง รอบกายปรากฏรุ้งเทพนับพันหมื่นสาย แวววาวพราวพร่าง ส่องสะท้อนจนเงาร่างของนางแปลกแยกเหนือโลกประหนึ่งฝันมายา

ฉัวะ! ฉัวะ!

กลางรอยแยกพร่าเลือนนั้น เงาทวนค่อยๆ ควบรวม ค่อยๆ ทะลวงออกมาจากเวิ้งฟ้าที่แหวกออกนั้น บดขยี้ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงแหลกเป็นจุณ

เงาทวนนี้น่าสะพรึงเกินไป ผสานด้วยพลังเหนือสุดของมรรคและวิชา ราวกับทวนพิพากษาจากสวรรค์!

ยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา หญิงลึกลับไม่ได้หลบเลี่ยง หลบไปก็ไร้ประโยชน์

เพราะนี่คือทวนพิฆาตมรรค ประหนึ่งร่างจำแลงของเจตจำนงวิถีสวรรค์ ที่มาสุดหยั่ง เคลือบแฝงความอัปมงคลและความตาย!

ตูม!

ในที่สุดทวนศึกก็ปรากฏเด่นชัด มันเจิดจ้าและลุกโชนมากเกินไป คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายสังหารที่น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด ร่วงสังหารลงมาจากฟากฟ้า

ชั่วขณะนี้ฝูงแกะที่แปลงมาจากอริยะห้าคนล้วนหวาดกลัวจนขวัญหลุดวิญญาณกระเจิง หมดสติไปทั้งอย่างนั้น

นี่น่าหวาดกลัวยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แค่กลิ่นอายสายหนึ่งที่ทวนศึกแผ่ออกมา ถึงกับทำให้อริยะห้าคนตกใจจนสลบไป!

หากแพร่งพรายออกไปใครจะกล้าเชื่อ

ในเวลาเดียวกันนั้นหญิงลึกลับไม่หลบไม่เลี่ยง รวบนิ้วแตะ รุ้งเทพนับพันหมื่นที่รายล้อมรอบกายพลันโฉบพุ่ง รวมตัวที่ปลายนิ้วของนาง

เป็นไปตามคาดไม่ผิดเพี้ยน ปลายนิ้วกับทวนศึกปะทะกัน!

ตูม!

ราวกับฟ้าถล่มดินทลาย พลังกฎระเบียบอันลุกโชนกลายเป็นกระแสปั่นป่วนคับฟ้า ระเบิดพล่านในพริบตานี้ กวาดม้วนทั่วฟ้าดิน

ยากจะจินตนาการยิ่งว่านี่คือพลังสูงสุดและน่าสะพรึงปานใด คล้ายสามารถบดขยี้ผืนฟ้า ตัดขาดมหามรรค ปั่นป่วนอดีตปัจจุบัน ก่อให้เกิดกลิ่นอายทำลายล้างที่เพียงพอจะทำให้สรรพสิ่งทั่วโลกล้วนสิ้นหวัง

จู่ๆ เบื้องหน้าสายตาหลินสวินพลันปวดแปลบ จิตวิญญาณล้วนสั่นไหว แม้จะมีการพิทักษ์จากรุ้งเทพ แต่จิตใจก็ยังสัมผัสถึงความน่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุดอยู่ดี

จากนั้นก็มองไม่เห็นอะไรอีก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ตอนที่การมองเห็นของหลินสวินกลับมาชัดเจนตามเดิม ก็เห็นกลางฟ้าดินคืนสู่สภาพแรกเริ่มตั้งนานแล้ว

ฟ้ายังเป็นฟ้าผืนนั้น ไร้ซึ่งรอยแยกแตก บนแผ่นดินกว้างภูผาธารายังคงอยู่ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังสมบูรณ์ไม่เสียหาย

เสมือนว่าภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงฝันร้ายฉากหนึ่ง ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักนิด

แต่ยามมองเห็นหญิงลึกลับ หลินสวินกลับใจหายวาบ เพราะบริเวณแขนซ้ายของนางถูกจ้วงเป็นรูโบ๋ขนาดเท่าปากชาม!

หนำซ้ำเงาร่างของนางก็เปลี่ยนเป็นเลือนรางและพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหมอกควัน เสมือนว่าสามารถจางหายไปได้ทุกเมื่อ

“นี่คือพลังพิฆาตมรรคในกฎระเบียบมหามรรคจากดินแดนรกร้างโบราณ ขอเพียงเหยียบย่างบนมรรคาต้องห้ามในระดับอริยะ ล้วนจะถูกมันจ้องเล่นงาน” หญิงลึกลับกล่าวง่ายๆ ตอนที่หันกายไปมองหลินสวิน รอยแผลบริเวณแขนซ้ายของนางก็มลายหายไปแล้ว

พลังพิฆาตมรรค!

ทันใดนั้นหลินสวินก็นึกขึ้นได้ ในอารามเก่าแก่ที่อริยสงฆ์ตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์เหลือทิ้งไว้ในส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดน เขาก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

ตอนนั้นด้วยแท่นบัวหยกขาว เขาถึงขั้นได้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่อริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬฝึกปราณร่วมกัน ราวกับเวลานิรันดร์หวนกลับมา ฝันมายาผันผ่านพันปี

แต่ผลสุดท้ายอริยะทั้งสองกลับพากันร่วงโรย

และคนที่บุกสังหารพวกเขาคือเงาร่างสีทองที่สูงกำยำไร้เทียมทานสายหนึ่ง

สาเหตุก็เป็นเพราะ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยะทั้งสองร่วมกับสรรค์สร้างละเมิดพลังต้องห้ามบางประการ เป็นผลให้ดึงดูดพลังพิฆาตมรรคมาเยือน

และเงาร่างสีทองนั้น ก็มาจากที่เดียวกันกับพลังพิฆาตมรรค!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็สะท้านสะเทือนไม่สร่าง

วันนี้เขาได้เห็นพลังต้องห้ามเช่นนี้กับตาตัวเอง และหญิงลึกลับสามารถรอดชีวิตจากพลังพิฆาตมรรคได้ นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าน่าสะพรึงถึงที่สุด

“ผู้อาวุโสไม่เป็นไรกระมัง”

หลินสวินสลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมอง ก้าวขึ้นไปถามไถ่

“ไม่เป็นไร ยังอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง”

หญิงลึกลับสีหน้าราบเรียบยิ่ง “แต่เวลามีไม่พอแล้ว ต่อไปได้แต่เปลี่ยนเส้นทางสักหน่อยแล้ว”

กล่าวพลางเงาร่างของนางพริบไหว ในพริบตานั้นพลันแบ่งร่างเป็นห้าร่าง แต่ละร่างล้วนเหมือนกับนางทุกกระเบียด กลิ่นอายก็เหมือนกันจนน่าตกใจ

“แกะห้าตัวนี้ข้าจะส่งไปขายให้กับสำนักต่างๆ เจ้าตั้งใจจะตามข้าไปแม่น้ำพรมแดนสักเที่ยว หรือจะไปสำนักบางแห่งสักหนกันล่ะ”

หญิงลึกลับเอ่ยถาม

เดิมทีตามแผนของนางคือจะพาหลินสวินไปเยือนห้าสำนักที่เหลือ แต่เพราะการปรากฏตัวของพลังพิฆาตมรรคจึงเปลี่ยนความคิดนี้ไป

“แม่น้ำพรมแดน?”

หลินสวินอึ้งงัน

“ถูกต้อง มีแต่ต้องอยู่ในแม่น้ำพรมแดนจึงจะสามารถอนุมานช่วงเวลายามที่มหายุคจะมาเยือนได้ และก็พอลองดูได้ว่ามหายุคครั้งนี้… จะต่างออกไปปานใด”

คำพูดของหญิงลึกลับเพิ่งสิ้นสุด หลินสวินก็กล่าวอย่างไม่ลังเลสักนิด “ข้าจะตามท่านไปแม่น้ำพรมแดน”

“เจ้าไม่คิดจะไปดูสำนักกระบี่เทียมฟ้าหรือแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณสักหน่อยจริงๆ หรือ นี่เป็นโอกาสที่ยากจะได้รับเชียว ถึงจะเป็นแค่ร่างแยกก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าบาดเจ็บแม้แต่น้อย”

หญิงลึกลับคล้ายจะชี้ชวน

“ไม่ไปขอรับ”

ถึงแม้ในใจหลินสวินจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็รู้ว่าต่อให้ไปก็คงไม่ต่างอะไรกับยามไปเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬก่อนหน้านี้

ต่อให้รู้สึกสะใจ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้มีความหมายมากมาย

หากสามารถติดตามหญิงลึกลับไปดูพยากรณ์การมาเยือนของมหายุคด้วยกันได้ นี่ย่อมเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ายากจะได้รับอย่างไม่ต้องสงสัย!

“ก็ดี” หญิงลึกลับพยักหน้า

ร่างแยกห้าสายของนางพากันเคลื่อนไหว ต่างไล่ต้อนแกะหนึ่งตัว บังคับรุ้งเทพเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศมุ่งหน้าสู่ห้าสำนัก

ส่วนนางก็พาหลินสวินมุ่งหน้าสู่ทางทิศตะวันออก

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท