Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1111 ศุภโชคเย้ยฟ้าที่ถูกผนึก

ตอนที่ 1111 ศุภโชคเย้ยฟ้าที่ถูกผนึก

ตุ้บ! ตุ้บ!

ในที่สุดเจ้าคางคกกับอาหลู่ก็ถูกหลินสวินแยกออกจากกัน โยนลงบนพื้นจากห้วงอากาศ

ขืนตีกันต่อไปอีก ทั้งสองคนจะต้องตีกันจนเดือดดาลจริงๆ แน่ นี่เป็นสิ่งที่หลินสวินไม่อยากเห็น

เจ้าคางคกหน้าบวมเขียว ใบหน้าหล่อเหลาดุจบุปผาบานยับเยินหาใดเทียบ นอนหายใจหอบอยู่กับพื้น

อาหลู่กระตุกเกร็งไปทั้งร่าง ผิวหนังทุกกระเบียดนิ้วสั่นระริก หอบหายใจเหมือนวัว

“สมกับเป็นวิชาดาวเหนือสยบโลกาอันสะเทือนนิรันดร์กาล พลังประหนึ่งช้างเทพสยบฟ้าดารา อานุภาพดุจมหาราชันกำราบชั่วกัลป์ วันนี้ได้เห็นฤทธิ์เดชของวิชานี้ ข้าดีใจยิ่งนัก”

เจ้าคางคกสีหน้าลุ่มลึก ทอดถอนใจไม่ว่างเว้น

เพียงแต่ศีรษะของเขาบวมแดงเป็นหัวหมู ดูไม่ลุ่มลึกเลยสักนิด น่าขันนัก

“เฮ้อ สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว ‘คัมภีร์กลืนตะวันคายจันทรา’ ของเผ่าคางคกทองมีอานุภาพแกร่งกล้านัก เป็นความมหัศจรรย์แห่งการช่วงชิงศุภโชคฟ้าดิน ได้รับยกย่องว่าเป็นวิชาอัศจรรย์ไร้แห่งยุคบรรพกาล ตัวข้าอ่อนหัดสู้ผู้อื่นไม่ได้เลย”

อาหลู่ก็ทอดถอนใจไม่ว่างเว้น เพียงแต่เขากระตุกไปทั้งตัว เหมือนเจ็บปวดยิ่ง หน้าตาบิดเบี้ยว ดูขัดกันมาก

“พวกเรานี่ก็ถือว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน”

“นั่นสิ สู้ได้สาแก่ใจนัก”

“ได้พบหน้ากันถือว่ามีวาสนา ไม่สู้พวกเรามาผูกมิตรเป็นสหายกันเถอะ”

“ดีเลย ตรงกับที่ข้าคิดพอดี!”

เจ้าคางคกกับอาหลู่ยิ่งคุยกันก็ยิ่งยินดีปรีดา ท่าทางชื่นชมกันและกัน เสียดายที่ไม่ได้พบกันเร็วกว่านี้ เหลือแต่ไม่ได้ร่ำสุราพูดคุย ยกจอกร่วมดื่มแล้ว

“พอแล้ว!”

หลินสวินอดกลั้นความระอาในใจ ดึงคนสองคนที่ชื่นชมกันเองให้แยกออกจากกัน

“พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าน้องชายชุดเขียวผู้นี้เป็นน้องสามได้”

สายตาอาหลู่มองไปที่หลินสวินอย่างจริงใจ

เจ้าคางคกอึ้งไป ยิ้มพูดว่า “นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง ข้าสาบานตัวเป็นพี่น้องกับหลินสวินมานานแล้ว เจ้ามาทีหลัง ลำดับของพวกเราจะรวนไม่ได้ ให้ข้าเป็นน้องรองดีกว่ากระมัง”

อาหลู่ส่ายหน้า “ทำแบบนี้ได้ที่ไหน”

เจ้าคางคกนิ่วหน้า “ทำแบบนี้ไม่ได้ที่ไหน นี่มันหลักการฟ้าดินนะ”

อาหลู่เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าไม่ได้จะชิงเป็นน้องรองกับข้าใช่ไหม”

เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ายังเด็ก น้องรองไม่ได้เป็นกันง่ายปานนั้นนะ นี่ข้าหวังดีกับเจ้าหรอก!”

อาหลู่ผุดลุกขึ้น พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “น้องรองนี่ต้องให้ข้าเป็น!”

ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังมีท่าทางเสียดายที่เจอกันช้าไป แต่ตอนนี้ชั่วขณะเดียวกลับตึงเครียดขึ้นมา ทำให้หลินสวินงงงวยไปครู่หนึ่ง

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เจ้าสองคนนี้แย่งกันเป็น ‘น้องชาย’ เสียอย่างนั้น…

น้องชายนะ!

หลินสวินสีหน้าพิกล อดไม่ได้เอ่ยถามว่า “น้องชายทุกคนล้วนมี ทำไมต้องแย่งกันเป็นด้วย”

เจ้าคางคกกับอาหลู่อึ้งไป จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีแล้ว ท่าทางเหมือนกินแมลงวันตาย

“ช่างเถอะ เจ้าเป็นน้องรองเถอะ” เจ้าคางคกเผยท่าทีใจกว้าง

“ข้าเป็นไม่ได้ เจ้าเป็นเถอะ” อาหลู่ก็เริ่มปัดให้อีกฝ่าย

ในใจทั้งสองคนกระอักกระอ่วนขึ้นมาครู่หนึ่ง เมื่อกี้คิดแต่จะกดหัวอีกฝ่าย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคำว่าน้องชายรองนี่ไม่ได้เป็นคำที่ดีอะไร

ชายชาตรีที่ยังมีของสงวน ทุกคนก็ไม่ได้มีน้องชายของตัวเองทุกคนหรอกหรือ

ใครมันจะอยากเป็นของพรรค์นี้กัน

ยิ่งคิดในใจทั้งสองก็ยิ่งคลื่นไส้ เสียใจจนอกไหม้ไส้ขม ถ้ารู้แต่แรกก็คงรีบตอบรับอีกฝ่ายอย่างเต็มใจ!

หลินสวินกลับสนุกเสียแล้ว หัวเราะอย่างเหิมเกริม

……

เจ้าคางคกตื่นแล้ว หลินสวินดีใจนัก

ต่อมาหลินสวินก็ได้รู้ว่าหลายปีมานี้ที่เจ้าคางคกปิดด่าน ปลุกพรสวรรค์ของเผ่าคางคกทองสามขาให้ตื่นขึ้นโดยราบรื่น ได้รับพลังมรดกที่ประทับอยู่ในสายเลือดมาแล้ว

‘คัมภีร์กลืนตะวันคายจันทรา’ หนึ่งวิชา

‘เหรียญทองแดงปราบสมบัติ’ หนึ่งเหรียญ

วิชายุทธ์เป็นมรดกสูงสุดของเผ่าคางคกทอง ส่วนสมบัติเป็นศาสตราจิตประจำตัวของเจ้าคางคก

“ที่แท้ก็ไม่ใช่เหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่น” อาหลู่เหมือนจะผิดหวังอยู่บ้าง

เจ้าคางคกกลอกตา “เจ้าจะไปรู้อะไร เหรียญทองแดงปราบสมบัติของข้านี้ ถ้าเคี่ยวกรำถึงขีดสุดแล้วก็จะแปรสภาพเป็นเหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่นที่แท้จริงได้!”

อาหลู่ยิ้มหยัน “กลัวแต่เจ้าจะทำไม่ได้น่ะสิ”

“เหรียญทองแดงสมบัติร่วงหล่นร้ายกาจมากหรือ” หลินสวินถาม

เจ้าคางคกพลันยกยิ้มขึ้นพูดว่า “ฉายาว่าสามารถกำราบสมบัติทั้งมวลในใต้หล้าได้ จะไม่ร้ายกาจได้หรือ แต่ว่าสมบัตินี้เป็นเพียงตำนาน ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยังไม่เคยมีใครได้เห็น”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดคุยโวว่า “แต่ว่าเหรียญทองแดงปราบสมบัติของข้าก็ไม่ธรรมดา ภายในมีไอพิสุทธิ์ฟ้าประทานสายหนึ่ง เก็บซ่อนความเร้นลับแรกกำเนิดไว้ ขอเพียงเรียกออกมา แม้ไม่อาจเอาชนะสมบัติอริยะได้ แต่กำราบยอดศาสตรามรรคราชันบางชิ้นก็เหลือแหล่!”

คราวนี้อาหลู่ไม่ได้โต้กลับอย่างหาได้ยาก เพราะเมื่อกี้เขาเพิ่งแลกหมัดกันไป รู้ดีถึงความร้ายกาจของเหรียญทองแดงปราบสมบัตินี้

จากนั้นอาหลู่ก็เปิดเผยว่าที่เขาฝึกคือ ‘วิชาดาวเหนือสยบโลกา’ จริงๆ แต่จะเกี่ยวข้องกับช้างเทพจักรพรรดิบรรพกาลหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เช่นกัน

“ในสมัยบรรพกาล ช้างเทพจักรพรรดิเคยเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งของโลก ครอบครองอานุภาพเทียมฟ้า หลายคนต่างคาดเดาไว้ว่าเขาทลายสิ่งกีดขวางแห่งสูงสุดของอริยมรรคได้แล้ว หลุดพ้นจากโลก อยู่เหนือธรรมดาโดยสมบูรณ์ ได้มหสติและมหอิสระไปแล้ว”

เจ้าคางคกพูดปริศนาขึ้นมาคำหนึ่ง “เพียงแต่ภายหลัง ช้างเทพจักรพรรดิกลับหายสาบสูญอย่างประหลาด ไม่ได้ปรากฎตัวในโลกอีก”

ในการปิดด่านคราวนี้เพื่อปลุกพรสวรรค์ในสายเลือด ทำให้เขาปลุกความทรงจำมากมายที่ถูกผนึกไปอย่างเงียบเชียบขึ้นมาด้วย

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจ้าคางคกก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองอาหลู่ปราดหนึ่ง

อาหลู่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “อย่ามาถามข้า ถามข้าก็ไม่รู้”

“เช่นนั้นเจ้ารู้อะไร” เจ้าคางคกออกจะไม่พอใจ

“ข้ารู้แค่ว่า ในข่าวลือเผ่าคางคกทองสามขาสูญสิ้นไปตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว คิดไม่ถึงว่าทายาทจะยังดำรงอยู่บนโลก หนำซ้ำยังฟื้นมรดกที่ประทับลงไปในสายเลือดเสียด้วย”

อาหลู่ตาเป็นประกาย จ้องมองเจ้าคางคก “ตามที่ข้ารู้ แม้แต่ในหมู่สายเลือดคางคกทองสามขา ก็ไม่ใช่ทุกคนสามารถปลุกมรดกสายเลือดให้ตื่นขึ้นมาได้”

เจ้าคางคกพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เรื่องของเผ่าข้า เจ้าจะไปรู้อะไร”

อาหลู่ถากถางสวนกลับไปว่า “ข้าเกี่ยวข้องกับช้างเทพจักรพรรดิหรือไม่ เจ้าจะไปรู้อะไรล่ะ”

หลินสวินรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เจ้าสองคนนี้ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ จุดประกายให้ตีกันง่ายนัก

“หลินสวิน มหายุคกำลังจะมาเยือน นี่เป็นมหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และต้องเป็นครั้งที่ตระการตาที่สุดครั้งสุดท้ายของยุคนี้ ในภายหลังก็จะโรยราลงเท่านี้”

เจ้าคางคกผุดลุกขึ้นทันที ดวงตามองขึ้นไปบนเวิ้งฟ้า น้ำเสียงเร้าใจฮึกเหิม “นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่พวกเราจะเดินหน้าเอาชัย ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสอื่นแล้ว!”

จากนั้นเขาก็มองไปยังหลินสวิน “เจ้า มีแผนอะไรไหม”

หลินสวินนิ่งไป “บรรลุระดับราชันขอบเขตมกุฎนับด้วยมั้ย”

เจ้าคางคกตบเข่า “สมเป็นพวกเรา มหายุค ที่เสาะแสวงก็คือระดับเช่นนี้ เมื่อแดนมกุฎมาเยือน ก็จะถึงคราวที่พวกเราผงาดขึ้นเป็นราชัน!”

“เจ้าก็รู้จักแดนมกุฎหรือ”

หลินสวินประหลาดใจ

“ไร้สาระน่า ในยุคบรรพกาลก็เคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร”

เจ้าคางคกดูถูกนัก เจ้าหมอนี่ก็เป็นเสียอย่างนี้ ระหว่างที่ไม่ทันรู้ตัวก็จะอวดดีเช่นนี้ จองหองยิ่งนัก

ฝ่ามือข้างหนึ่งหลินสวินตบเข้าที่ท้ายทอยของเขา กดความจองหองของเขาได้ทันที ตอนนี้เขาถึงเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับแดนมกุฎให้หลินสวินฟังแต่โดยดี

“ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันล้วนสามารถเข้าไปในแดนมกุฎ สมัยบรรพกาลทุกครั้งที่แดนมกุฎมาเยือน จะต้องดึงดูดสายตาของผู้ฝึกปราณทั้งใต้หล้า ไม่ว่าใคร ขอเพียงพลังปราณไม่เกินระดับระชันล้วนเค้นสมองแย่งกันเข้าไปในนั้น เจ้ารู้ไหมว่าทำไม”

“ง่ายมาก! ศุภโชคกับวาสนาในแดนมกุฎมีมากมายนัก! มากจนสามารถทำให้ไม่ว่าสำนักใดหรือเผ่าโบราณไหนตาลุกวาว!”

เจ้าคางคกพูดจนน้ำลายแตกฟอง ท่าทางเหมือนพูดเรื่องใหญ่ในใต้หล้า

“พวกเราทำเพื่อช่วงชิงศุภโชคของขอบเขตมกุฎระดับราชัน แต่ผู้ฝึกปราณคนอื่นทำเพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชคอื่น สรุปแล้ว นี่ก็คือการชิงเอาสิ่งที่แต่ละคนต้องการ”

หลินสวินอดไม่ได้ถามออกไปว่า “ตกลงภายในนั้นมีศุภโชคกับวาสนาอะไรกันแน่”

“วิชามรรค มรดก สมบัติโบราณ เจตวัตถุ ทรัพย์เซียน… ยังมีอักษรมรรค ครรภ์วิญญาณ สามารถทำให้อริยะบ้าคลั่งได้ทั้งสิ้น!”

ดวงตาสีทองของเจ้าคางคกเจิดจ้า ส่องประกายลุกวาว “ถึงขั้นยังมีคนเคยพบรังเจินหลง ถ้ำหงส์เซียนในนั้น! วาสนาเย้ยฟ้านานาชนิดเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้!”

หลินสวินก็อดไม่ได้สูดหายใจเยียบเย็น “จริงหรือ”

“ไม่มีทางไม่จริง”

เจ้าคางคกเอ่ย “อย่างน้อยที่สุดข้าก็รู้ว่าในยุคบรรพกาล เคยมีเด็กเลี้ยงวัวที่มีพลังปราณเพียงระดับกำลังภายในเท่านั้น บังเอิญได้กลืนกินผลไม้เทพผลหนึ่งในแดนมกุฎ ภายในเวลาสั้นๆ แค่ร้อยวันก็เป็นราชันได้ในครั้งเดียว!”

หลินสวินอึ้งไป เรื่องนี้ฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว บนโลกนี้ยังมีสถานที่มหัศจรรย์หาใดเทียบเช่นนี้ด้วยหรือ

“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเพิ่งตื่นขึ้นในยุคนี้”

เจ้าคางคกเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยลับลมคมใน

ไม่ทันที่หลินสวินจะเอ่ยถาม เขาก็ตอบออกมาเองว่า “เพราะว่าในยุคบรรพกาล แม้แดนมกุฎจะเคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง แต่ศุภโชคเย้ยฟ้าบางอย่างในนั้นกลับถูกผนึกอยู่! ตามการสันนิษฐานของผู้มากความสามารถยุคบรรพกาลเหล่านั้น มีเพียงตอนที่มหายุคที่งดงามตระการตาครั้งหนึ่งเท่านั้น ศุภโชคที่ถูกผนึกไว้เหล่านั้นถึงจะถูกคนเสาะหาและคว้าไปได้!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกก็อดไม่ได้ถอนใจออกมา “หากไม่ใช่เพราะศุภโชคเย้ยฟ้าเหล่านี้ถูกผนึก ไม่อาจถูกทลายได้ ในยุคบรรพกาลต้องมีระดับมกุฎราชันถือกำเนิดขึ้นไม่น้อยแน่”

หลินสวินพลันตระหนักได้ขึ้นมา พูดว่า “พูดแบบนี้ เจ้าตื่นขึ้นมาในยุคนี้ก็เพื่อรอคอยให้มหายุคมาเยือน จะได้เข้าไปในแดนมกุฎใช่ไหม”

เจ้าคางคกพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าสับสนนึกอะไรไม่ออกเลย เป็นเพราะพลังสายเลือดภายในกายข้าถูกผนึกไว้ ถึงขนาดที่ความทรงจำข้าขาดหาย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ข้ารู้อดีตของตัวเอง รู้แล้วว่าควรทำอะไร”

หลินสวินรู้ชัดว่าเจ้าคางคกในตอนนั้นอ่อนแอจริงๆ ขนาดตัวเองตื่นขึ้นมาได้อย่างไร มายังโลกนี้ได้เช่นไรยังไม่รู้

จากนั้นหลินสวินก็นึกอีกเรื่องหนึ่งออก

ช่วงใกล้ๆ นี้ในดินแดนรกร้างโบราณมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณไม่รู้เท่าไรถือกำเนิดขึ้นอย่างโดดเด่น ก่อให้เกิดความสะเทือนในใต้หล้า

บ้างเป็นอัจฉริยะเหนือธรรมดาที่เก็บตัวเงียบเชียบหลายพันปี

บ้างเป็นสัตว์ประหลาดและปีศาจที่เก็บตัวเงียบมาหมื่นปีขึ้นไป

กระทั่งยังมีผู้ที่เก็บตัวเงียบมานานกว่านั้น เช่นคุณชายน้อยที่อยู่บนเกาะอริยะปัญจธาตุผู้นั้น เซ่าเฮ่านายน้อยเผ่าราชันเร้นดาราที่เก็บตัวเงียบเชียบในไข่แห่งกลุ่มดาว ก็น่าจะจำศีลหลับไหลมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลทั้งนั้น!

และตอนนี้หลินสวินถึงเพิ่งค้นพบว่าเจ้าคางคกที่อยู่ข้างกาย ก็ไม่ใช่ว่าเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณตัวหนึ่งหรอกหรือ หาไม่แล้วจะเพิ่งมาปลุกพลังสายเลือด ล่วงรู้อดีตของตนเองเอาตอนนี้ได้อย่างไร

ในครู่เดียวสายตาที่หลินสวินมองไปยังเจ้าคางคกก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เจ้าหมอนี่ดูเหมือนเด็กหนุ่มชุดเขียวผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง ใครจะคิดได้ว่าเขาจะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ถือกำเนิดในยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง

“เจ้า… เจ้ามองบ้าอะไรเนี่ย!” เจ้าคางคกถูกจ้องจนอึดอัดไปหมด

หลินสวินเหมือนหาเหยื่อที่สามารถชำแหละได้ตัวหนึ่งพบ พูดด้วยสายตาล้ำลึกว่า “ข้าอยากรู้นักว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณเป็นอย่างไรกันแน่ แตกต่างกับบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบันอย่างไร เริ่มจาก… เจ้าดีไหม”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท